โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม
ในที่สุดดิฉันก็ถึงที่ทำงานอย่างปลอดภัย (ถ้าสงสัยว่าดิฉันไปทำอะไรที่ไหนมาก็ลองย้อนไปอ่าน 2 ตอนที่แล้วนะคะ คลิกอ่าน ) พอเห็นนาฬิกาชี้ที่เลข 12 ดิฉันก็รีบคว้ากระเป๋าออกไปพักเที่ยงทันทีตามนโยบาย ‘มาแบบไทยไปแบบฝรั่ง’ แต่ก่อนจะเตร็ดเตร่เดินชอบปิ้งก็ต้องกินข้าวเอาแรงกันก่อน ดิฉันและเพื่อนๆ เดินหาอยู่นานว่าจะกินร้านไหนดีเพราะเบื่อร้านเดิมๆ แล้วก็ได้เห็นว่ามีร้านใหม่เพิ่งมาเปิด หน้าตาร้านดูใช้ได้ ส่วนคนขายเป็นคนจีนท่าทางเหมือนกุ๊กมืออาชีพ คงได้อร่อยแน่มื้อนี้
พอตัดสินใจเข้าไปในร้าน อาเฮียแกเอาเมนูมาแจกคนละอัน แหมมีรูปประกอบด้วย น่ากินเชียว อารามหิวพวกเราก็เลยสั่งไปซะหลายรายการโดยไม่ได้สังเกตว่า ทุกเมนูไม่ได้บอกราคาอาหารไว้เลย เพิ่งมาเห็นเอาอีตอนสั่งไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงเพราะคิดว่า ราคาอาหารจานเดียวแบบนี้ก็คงไม่แตกต่างจากร้านทั่วๆ ไป ว่าแล้วเราก็ก้มหน้าก้มตากินกันจนหมดเกลี้ยงด้วยความหิว ทั้งที่ความจริงรสชาติก็งั้นๆ แต่พอถึงตอนเรียกเก็บเงินนี่ซิ พวกเราถึงกับอ้าปากค้าง!
เพราะไอ้อาหารธรรมดาๆ ที่ว่า ประเภท ราดหน้า ผัดซีอิ๊ว ฯลฯ ราคาจานหนึ่งเกือบสามร้อยบาท! (นั่นเมื่อหลายปีมาแล้วถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงจะประมาณ 500 บาท) ถึงแม้จะใส่วัตถุดิบพิเศษกว่าร้านอื่น เช่น วิญญาณปู แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะโก่งราคาได้ขนาดนั้น นี่ถ้าอากาศไม่ได้ร้อนตับแตกดิฉันคงคิดว่ากำลังนั่งกินอยู่ที่ลอนดอน แต่พวกเราพูดไม่ออกเพราะไม่ได้ถามราคาเอง และกลัวเสียฟอร์มเพราะแต่ละคนแต่งตัวเสียสวยเริ่ด เลยกล้ำกลืนจ่ายไปแต่ขณะที่เดินออกจากร้านดิฉันก็คิดในใจว่า “เดี๋ยวเจอกัน ไอ้ เอ้ย! อาเฮีย” แล้วก็รีบท่องเบอร์โทรศัพท์ที่ติดไว้หน้าร้านทันที
ตอนแรกดิฉันกะจะโทรหาตำรวจที่สน.ประจำท้องที่ให้ไปจัดการเพราะ **การขายอาหารโดยไม่ระบุราคามันผิดกฎหมายอยู่แล้ว** แต่มาคิดๆ ดู กว่าจะเล่าเรื่องให้ตำรวจฟังและกว่าตำรวจจะมาจัดการ มีหวังคงมีคนโดนฟันแบบเราอีกหลายรายและบางทีตำรวจก็อาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยประเภท ‘ตีหัวหมาปาหัวเฮีย’ จนไม่สนใจเลยก็ได้ ดังนั้น หลังจากใคร่ครวญแผนการขณะนั่งทำงานไปพักหนึ่ง ดิฉันก็ยกหูโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานขึ้นมาและหมุนหาอาเฮียโดยไม่รอช้า!
“ฮาโหล” ดิฉันทำเสียงหยิ่งนิดๆ แบบที่ตำรวจหญิงควรจะเป็น
“ที่นั่น ใช่ร้านเฮงโภชนา หรือเปล่า ขอพูดกับเจ้าของร้านหน่อย” ความจริงร้านแกคงมีชื่อเต็มว่า “เฮงซวยโภชนา” มากกว่า
“กำลังพูดอยู่” (ก็จะเป็นใครเล่าในเมื่อทั้งร้านมีแกอยู่คนเดียว) อาเฮียพูดแบบไม่มีหางเสียงพอกัน แต่พอได้ยินประโยคต่อไปที่ว่า
“นี่โทรมาจาก สน.บางเลิก นะ มีคนเขาโทรมาร้องเรียนว่าที่นี่ขายอาหารไม่ติดราคาหรือ” เท่านั้นแหละ เสียงแกอ่อนลงทันที
“อ๋อ..ขอโทษทีครับผู้หมวด” รู้ยศเราได้ไงไม่รู้ “พอลี ร้านอั้ว เอ้ย… ร้านผมเพิ่งเปิด ยังไม่ทันได้ติดราคาครับ”
“อ้าว..จะเปิดร้านก็ต้องพร้อมซิเฮีย ทำงี้ได้ไง ได้ข่าวว่าขายผิดราคาด้วยนะ”
“ไม่หรอกครับผู้กอง” เลื่อนยศเร็วจัง! “ผมใส่ของลีๆ ทั้งน้าน” ดิฉันเลยต้องรีบตัดบทก่อนจะโดนจับได้
“เอาละๆ ยังไงก็รีบไปติดราคาเสียให้เรียบร้อยแล้วกัน มันผิดกฎหมายเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนรู้ไหม” ดูหนังสืบสวนมากก็มีประโยชน์อย่างนี้แหละ
“พรุ่งนี้จะรีบติดเลยครับ ศาลาวัก” แกคงหมายถึง สารวัตร นี่ถ้าพูดนานกว่านั้นมีหวังดิฉันได้เป็นผู้กำกับแน่
วันรุ่งขึ้น ดิฉันรีบไปดูผลงานของสน. บางเลิกทันที ปรากฏว่า เกินคาดเลยทีเดียวเพราะอาเฮียแกติดราคาทุกรายการ แบบตัวโตเต็มผนังร้าน แถมราคาถูกลงประมาณเกือบครึ่ง! เห็นไหมคะว่า แกมีเจตนาหลอกฟันจริงๆ นั่นแหละ ดีนะเนี่ยที่ สุดยอดนักร้อง(เรียน) ได้มาประสบเหตุเสียก่อน ทำให้ประชาชนอีกจำนวนมากรอดพ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบในครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
อย่างไรก็ตาม ‘มลพิษทางปาก’ ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะวันต่อมาก็ถึงคิวร้านเก่าแก่ที่จะต้องเจอกับ ‘ศาลาวัด’ เจ้าเดิม! (โปรดติดตามตอนต่อไป)
Share this article