YoungHappy x Nestle

เชื่อว่าหลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า การดื่มน้ำ มีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ยิ่งในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าว ร่างกายจะสูญเสียเหงื่อมากกว่าปกติ และเหนื่อยล้าจากอุณหภูมิความร้อน ดังนั้นการดื่มน้ำเพื่อชดเชยน้ำที่เสียไปและเติมความสดชื่นให้กับร่างกาย จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

สำหรับหน้าร้อนนี้ ยังแฮปปี้จึงอยากชวนพี่ๆ มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การตระหนักถึงสัญญาณเตือนจากร่างกายเมื่ออยู่ในภาวะขาดน้ำ, สูตรหาปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน, คุณประโยชน์ของน้ำต่อร่างกายและจิตใจ และสุดท้าย เทคนิคดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว สไตล์วัยเก๋า

ยังแฮปปี้ และ เนสท์เล่ สนับสนุนให้คนไทยแข็งแรง และอยากให้วัยเก๋าทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ จึงอยากจะแนะนำให้เข้าใจความสำคัญของ การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อความสดชื่นแจ่มใสของสุภาพกายและใจในทุกๆ วัน 

สัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ

ฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดด เป็นโรคยอดฮิตประจำฤดูร้อน เกิดเมื่อร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปและไม่สามารถขับความร้อนออกมาได้ โดยกลุ่มผู้สูงอายุและผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคดังกล่าวได้ง่าย เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อในร่างกายลดลง ทำให้น้ำในร่างกายลดลงตามไปด้วย และอาจจะไม่ค่อยรู้สึกกระหายน้ำ จึงมักจะได้รับน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ

โดยภาวะขาดน้ำจะส่งผลทำให้ระบบในร่างกายทำงานผิดปกติ อาจมีภาวะชัก หรือหมดสติจากการที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดภาวะนี้ขึ้น ร่างกายจึงมีการส่งสัญญาณเตือนออกมาล่วงหน้าในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ปัสสาวะที่มีสีเหลืองเข้ม, ริมฝีปากแห้ง, ผิวแห้ง, อาการเหนื่อยหอบ หรือ หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งถ้าหากพบอาการตามข้อสังเกตดังกล่าว ก็ควรหันมาดื่มน้ำให้มากขึ้น

ควรดื่มน้ำปริมาณเท่าไรใน 1 วัน

ความจริงแล้ว ปริมาณน้ำที่ทุกคนควรได้รับต่อวันมีปริมาณไม่เท่ากัน หลักๆ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน สำหรับช่วงอายุที่ต้องการน้ำมากที่สุด คือ 19-30 ปี และจะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น โดยเราสามารถนำน้ำหนักตัวมาคำนวณเพื่อหาปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน ด้วยสูตร น้ำหนัก (กิโลกรัม) คูณด้วย 2.2 คูณด้วย 30 และหารด้วย 2 จะได้ปริมาณน้ำที่เราควรดื่มใน 1 วันเป็นหน่วยมิลลิลิตร

ยกตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม × 2.2 × 30 / 2 จะเท่ากับ 2,310 มิลลิลิตร แต่ถ้าไม่อยากคำนวณให้ยุ่งยาก อาจจะใช้แก้วน้ำเป็นตัววัดแทนได้ โดยการดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน หรือเทียบเท่ากับการดื่มน้ำจากขวดขนาด 600 มิลลิลิตร ประมาณ 3 ขวดนั่นเอง

คุณประโยชน์ของน้ำ ต่อสุขภาพกายและใจ

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำอย่างน้อยร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว น้ำมีหน้าที่สำคัญในการดูแลความสมดุลในร่างกาย แต่นอกจากนี้ น้ำยังมีประโยชน์อีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำอย่างน้อย 2,400 มิลลิลิตรต่อวัน จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองของร่างกาย พัฒนาความจำระยะสั้น ช่วยลดความเครียด ทำให้นอนหลับดีขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระชับให้กับผิวหนังได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่า น้ำเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเรามาก ดังนั้น การเลือกน้ำเปล่าที่ดีจึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยควรเลือกน้ำดื่มคุณภาพที่สะอาด ใส และบริสุทธิ์ ที่ใช้เทคโนโลยีการกรองละเอียดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเอาเชื้อโรคและสิ่งปลอมปนออกจากน้ำไปจนหมด เหลือแต่เพียงแร่ธาตุที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น

เทคนิคดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้ว สไตล์วัยเก๋า

สุดท้ายนี้ มีเทคนิคดื่มน้ำให้ครบ 8 แก้วต่อวันมาฝากกัน เผื่อพี่ๆ จะลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองดู ไม่ว่าจะเป็นการพกกระติกน้ำขนาด 600 มิลลิลิตร เติมประมาณ 3 ครั้ง เพื่อดื่มให้ครบ 1,800 มิลลิลิตร หรือจะแบ่งดื่มเป็นแก้วๆ ไป โดยกำหนดช่วงเวลาดื่มน้ำให้กับตัวเองอย่างง่ายๆ คือ ดื่มน้ำ 1 แก้วหลังตื่นนอนทันที เพื่อเพิ่มความสดชื่นและชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไประหว่างที่หลับ, ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนและหลังมื้ออาหาร (เช้า กลางวัน เย็น) เพื่อช่วยในการย่อยและดูดซึมอาหาร และดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนเข้านอน เพื่อช่วยป้องกันร่างกายขาดน้ำขณะนอน

อย่างไรก็ตาม สำหรับการดื่มน้ำก่อนเข้านอน ไม่ควรดื่มเยอะเกินไปหรือดื่มใกล้กับเวลานอนมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้พี่ๆ รู้สึกปวดปัสสาวะ แล้วตื่นขึ้นมากลางดึก เพื่อลุกขึ้นมาทำธุระในห้องน้ำ ซึ่งจะเป็นการขัดจังหวะการนอนหลับ ทำให้นอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มนั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ รู้อย่างนี้แล้ว ชาวยังแฮปปี้อย่าลืมดื่มน้ำให้มากๆ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะได้ห่างไกลจากภาวะร่างกายขาดน้ำ เพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี

สนันสนุนข้อมูลโดย
https://www.nestlepurelife.com/th/th-th