พี่ๆ คิดว่า การออกกำลังกายประเภทไหน ง่ายและประหยัดที่สุด เชื่อว่าส่วนใหญ่พี่ๆ ต้องตอบว่า ‘การเดิน’ อย่างแน่นอน เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายและมีต้นทุนต่ำที่สุดนั่นเอง 
ยังแฮปปี้ และ เซียงเพียว อยากจะชวนพี่ๆ วัยเก๋า ไปทำความรู้จักกับประโยชน์ของการเดิน เพื่อคลายข้อสงสัยว่า ทำไม ‘การเดิน’ จึงเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับวัยเก๋า 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/04/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7_content-03.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

เดินดี ไม่ต้องมีต้นทุน
พี่ๆ หลายคนอาจคิดว่า การออกกำลังกาย จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น การวิ่งก็จำเป็นต้องมีรองเท้าที่คอยซัพพอร์ต เล่นเปตองก็ต้องมีลูกเปตอง แต่สำหรับ ‘การเดิน’ เรียกว่าเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มเลย เพราะพี่ๆ สามารถสวมใส่รองเท้าคู่เดิมเดินได้แบบสบายๆ ส่วนเสื้อผ้าก็สวมใส่ชุดปกติได้เลย หรือถ้าหากพี่ๆ อยากให้การเดินสะดวกสบายมากขึ้นก็สามารถเลือกใส่รองเท้าที่มีความกระชับ และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ก็ช่วยให้พี่ๆ เดินได้ดีมากขึ้นนั่นเอง 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/04/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7_content-04.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

เดินบ่อย ดีต่อสุขภาพ
สำหรับการเดินนั้น ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อร่างกายไม่ต่างจากการออกกำลังกายประเภทอื่นเลย เพราะการเดินมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นการเดินยังมีส่วนช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร โดยเฉพาะการเดินหลังมื้ออาหาร 15 นาที จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ และที่สำคัญการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ด้วยการเดินบ่อยๆ จะช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบได้ รวมถึงช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคกล้ามเนื้อลีบอีกด้วย 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/04/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7_content-05.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

เดินมาก ระวังปวดเมื่อย 
ถึงแม้การเดินจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพอย่างไร แต่พี่ๆ ผู้สูงอายุก็จำเป็นต้องระมัดระวังการเดินให้ปลอดภัยและเหมาะสม โดยเริ่มต้นเดินวันละ 15 นาทีต่อวัน และค่อยๆ เพิ่มเป็น 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ไม่ควรหักโหมจนเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อได้ 
แต่ถ้าหากพี่ๆ เกิดอาการปวดเมื่อย จากการเดินในช่วงวันแรกๆ ก็สามารถใช้ SIANGPURE RELIEF CREAM เซียงเพียวรีลีฟครีม ครีมบรรเทาอาการปวดเมื่อย ทาบริเวณกล้ามเนื้อที่ปวดได้ เนื้อครีมซึบซาบเร็ว ไม่เหนี่ยวเหนอะหนะ และตัวยายังออกฤทธิ์นานด้วยส่วนประกอบหลักจากธรรมชาติอย่าง เมทิลซาลิไซเลต (น้ำมันระกำ) มากกว่า 12% นอกจากนั้นยังมีส่วนผสมของโคลฟ-ออยล์ ช่วยเสริมฤทธิ์คลายปวดเมื่อยได้ดี สามารถใช้ทาได้ทั้งก่อนและหลังเดิน เพื่อช่วยบรรเทากล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย พี่ก็สามารถเดินได้สบายหายห่วง

ทำไม ‘การเดิน’ จึงเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับวัยเก๋า

รู้หรือไม่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้น สารอาหารในร่างกายที่มีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงก็ยิ่งลดน้อยลงไป พี่ๆ วัยเก๋าและทุกๆ วัยจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้ว่า มีสารอาหารใดบ้างที่ลดน้อย จากเราไป เพื่อที่จะได้เติมกลับมาให้สมบูรณ์

ยังแฮปปี้จึงอยากชวนพี่ๆ มาทำความรู้จักกับ ‘สารคาร์โนซีน’ สารอาหารที่กำลังเป็น ที่พูดถึงมากในปีนี้ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเจ้าสารนี้มีประโยชน์อย่างไร และหาได้จากที่ไหน

เพราะสารคาร์โนซีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติช่วยชะลอความชรา ป้องกันอัลไซเมอร์ได้ บำรุงสมอง แถมยังเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงได้อีกด้วย ประโยชน์มาเต็มขนาดนี้ ลองไปทำความรู้จักกับเจ้าสารอาหารนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/03/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99-03.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 ยิ่งอายุมาก ยิ่งต้องใส่ใจสารอาหาร
ร่างกายของเราจะสามารถทำงานได้ตามปกติ มีปัจจัยคือสารอาหารต่างๆ ที่มาจากการที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้เอง และมาจากอาหารต่างๆ ที่เรากินเข้าไปแล้วดูดซึมให้ร่างกายนำไปใช้นั่นเอง แต่พี่ๆ รู้หรือไม่ว่า ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งต้องอาศัยการบำรุงจากสารอาหารต่างๆ มากเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป สารอาหารที่เคยผลิตได้เองก็ลดน้อยลง เพราะฉะนั้นแล้ว จึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกิน และเรียนรู้จักสารอาหารที่สำคัญมากขึ้น

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/03/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99-04.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 รู้จักคาร์โนซีน สารอาหารสำคัญสำหรับวัยเก๋า
หนึ่งในสารอาหารสำคัญที่วัยเก๋าและทุกๆ วัยต้องทำความรู้จักนั่นก็คือ ‘สารคาร์โนซีน’ ซึ่งเป็นสารประกอบไดเปปไทด์ (Dipeptide) เป็นหน่วยย่อยของโปรตีนที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เองตามธรรมชาติ โดยพบที่สมอง กล้ามเนื้อ และส่วนอื่นๆ ในร่างกาย แต่จะลดน้อยลงไปเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสามารถรับเพิ่มเติมได้จากเนื้อสัตว์ อย่างเช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู และเนื้อวัวได้ แต่จะไม่พบคาร์โนซีนในพืชผักผลไม้


<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/03/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99-05.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 คาร์โนซีนดีต่อสุขภาพสมอง ยืนยันด้วยผลวิจัยรับรอง
ส่วนคุณสมบัติของสารคาร์โนซีน มีการวิจัยแล้วพบว่าดีต่อสุขภาพของทุกวัย เพราะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งในช่วงอายุที่มากขึ้น จะช่วยชะลอความชราของเซลล์ ช่วยบำรุงสมองให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มสมาธิและการจดจ่อ เพิ่มความจำระยะยาว ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองส่วนหน้า และมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Alzheimer's Disease* เมื่อปี 2016 โดยนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นได้ทดลองในกลุ่มอาสาสมัครอายุ 60-78 ปี จำนวน 39 คน ให้รับสารคาร์โนซีนติดต่อกัน 3 เดือน โดยผลลัพธ์ยืนยันว่า สารคาร์โนซีนเข้ามาฟื้นฟูสมองของผู้สูงอายุที่กำลังเสื่อมถอย โดยเฉพาะในส่วนของ Verbal Memory ความจำจากการได้ยิน หรือการอ่านตัวหนังสือ ด้วยการช่วยยับยั้งการลดลงของการไหลเวียนของเลือด บริเวณสมองส่วนหลังได้อีกด้วย


<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/03/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99-06.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 รับสารคาร์โนซีนทุกเช้า ดูดซึมได้ดีที่สุด
การรับสารคาร์โนซีนในช่วงเช้าพร้อมกับมื้อแรกของวันเป็นสิ่งที่พี่ๆ ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดีและนำไปใช้ได้ตลอดทั้งวัน และวิธีที่จะช่วยในการดึงสารคาร์โนซีนออกจากเนื้อสัตว์ได้ดี นั่นคือการนำเนื้อสัตว์ไปตุ๋น ไปต้ม หรือนำไปผ่านกระบวนการสกัดที่มีการผ่านความร้อนและความดัน หรือสะดวกกว่านั้น คือการเลือกทานในรูปแบบซุปไก่สกัดเข้มข้น ที่มีสารคาร์โนซีน เพื่อให้ร่างกายได้รับคาร์โนซีนแบบเต็มๆ และแนะนำว่าควรได้รับอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมการทำงานของสมองให้เต็มประสิทธิภาพในทุกวัน


<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/03/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99-07.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 หมั่นเติมคาร์โนซีนทุกวัน ให้สมองยังแข็งแรง
แน่นอนว่าการที่พี่ๆ วัยเก๋าและทุกๆ วัย จะมีสุขภาพดีได้ ต้องรู้จักสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เลือกกินอาหารอย่างเข้าใจให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย และไม่ลืมที่จะหมั่นเติมคาร์โนซีน เพื่อให้สมองยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ

*อ้างอิง <a href="https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26682691/" target="_self">https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26682691/</a>&nbsp;

รู้จัก ‘คาร์โนซีน’ สารอาหารสำคัญ ช่วยบำรุงสมองให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

การเริ่มต้นดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน คือการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และการรับประทานผลไม้ก็เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร พี่ๆ วัยเก๋าหลายท่านคงคุ้นเคยดีกับ แอปเปิ้ล กล้วย มะละกอ มะม่วง ผลไม้พื้นบ้านของเรา แต่อาจจะมีบางท่านที่ยังไม่รู้จักกับผลไม้ที่มีชื่อว่า ‘อาซาอิ’ 
วันนี้ยังแฮปปี้พาพี่ๆ วัยเก๋ารู้จักกับผลไม้ที่มีชื่อว่า ‘อาซาอิ’ หรือ ‘อาไซอิ’ เป็นผลไม้ที่ได้ชื่อว่าเป็น Super Food พบได้มากในอเมริกากลางและอเมริกาใต้กันบ้าง ลักษณะเป็นปาล์มที่สูงและมีใบ เปลือกของผลไม้ชนิดนี้มีสีม่วงเข้ม รสชาติคล้ายแบล็กเบอร์รีผสมรสขม ผลมีลักษณะกลมขนาดประมาณ 2.5 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ในปัจจุบันมักใช้จำหน่ายเป็นเครื่องดื่มหรือปั่นใส่โบลว์ทานคู่กับผลไม้อื่นๆ 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/01/acai%20berry-03_0.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

เจ้าผลไม้เล็กจิ๋วนี้ เหมาะกับวัยเก๋าอย่างไร เพราะมอบสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ส่งเสริมสุขภาพสมองและสร้างระบบป้องกันอนุมูลอิสระในสมอง บางงานวิจัยแสดงให้เห็นว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในอาซาอิเบอร์รี่อาจมีผลดีต่อสุขภาพสมองและความจำของพี่ๆ ผู้สูงอายุอีกด้วย 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2024/01/acai%20berry-04_0.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ชาวพื้นเมืองมักใช้ผลอาซาอิมาทำขนม เครื่องดื่มและไวน์ เพราะการนำผลสดๆ ของอาซาอิมารับประทานนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก ในปัจจุบันจึงนิยมนำมาทำให้แห้ง บดเป็นผง หรือนำอาซาอิมาแช่แข็ง เพื่อง่ายต่อการขนส่งและลดปัญหาเรื่องคุณค่าทางอาหารของอาซาอิที่อาจลดลงได้ในระหว่างการขนส่ง 
หากพี่ๆ วัยเก๋าต้องการเลือกซื้ออาซาอิเบอร์รี่ต้องพิจารณาเลือกซื้อด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากในท้องตลาดอาซาอิเบอร์รี่จะถูกนำเข้ามาด้วยการแช่แข็งหรือบดมาเป็นผง ก่อนที่จะนำมาจำหน่ายในบ้านเรา สิ่งที่พี่ๆ สามารถทำได้คืออ่านรายการส่วนผสมในผลิตภัณฑ์นั้นอย่างละเอียด ไม่ควรมีสารเสริมหรือวัตถุกันเสียที่ไม่เกี่ยวข้อง สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของอาซาอิว่าได้รับการผลิตในสภาพที่ถูกต้อง ได้รับการทดสอบคุณภาพหรือมีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือได้ก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ไม่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานในท้องตลาดมากจนเกินไปและสามารถติดต่อบริษัทนั้นๆ ได้ เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัย เพียงเท่านี้ พี่ๆ ก็สามารถเลือกซื้ออาซาอิเบอร์รี่ที่มีคุณภาพและปลอดภัย ได้รับประโยชน์จากการกินผลไม้ชนิดนี้ได้อย่างสบายใจ 
อ้างอิง
<a href="https://krua.co/cooking_post/acai-berries" target="_self"><ins>https://krua.co/cooking_post/acai-berries</ins></a>
<a href="https://shorturl.at/lMT37" target="_self"><ins>https://shorturl.at/lMT37</ins></a>

รู้จัก ‘อาซาอิเบอร๋รี่’ ผลไม้ Super Food เม็ดเล็กจิ๋ว แต่ประโยชน์ไม่จิ๋ว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้พี่ๆ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต่างหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จะด้วยเทรนด์สุขภาพสร้างแรงบันดาลใจ หรือจะเป็นภาวะร่างกายที่เสื่อมถอยลง เป็นการกระตุ้นเตือนสติให้พี่ๆ หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณที่ดีทั้งนั้น 
โดยหนึ่งในทางเลือกการดูแลสุขภาพ ที่พี่ๆ มักจะเห็นได้บ่อยๆ ในสื่อต่างๆ คือการแนะนำให้กินวิตามินหรืออาหารเสริม เพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในส่วนที่ขาด หรือช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีกระแสตีกลับ ว่าวิตามินหรืออาหารเสริม เป็นสิ่งจำเป็นไหม 
ยังแฮปปี้เลยขออาสาหาข้อมูล เพื่อช่วยให้พี่ๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น 
ทำความเข้าใจกับร่างกายและสารอาหาร
ก่อนอื่นเลย อยากให้พี่ๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ก่อน ซึ่งเป็นหลักการกินพื้นฐานที่ทราบกันดีอยู่แล้ว โดยในอาหารหลัก 5 หมู่ทั่วไป จะประกอบไปด้วยสารอาหารต่างๆ ที่จำเป็นและเพียงพอต่อร่างกายของพี่ๆ ทั้งเรื่องของ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ วิตามิน และไขมัน ซึ่งถ้าพี่ๆ กินได้ครบ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดสารอาหารแล้ว 
แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือปริมาณและสัดส่วนของการได้รับสารอาหารแต่ละประเภท อย่างเช่นคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ถ้าได้รับมากเกินความจำเป็นก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าหากพี่ๆ กินอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มเติมเลย 
ถ้าหากขาดสารอาหารบางอย่าง อาหารเสริมก็จำเป็น
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ถ้าหากพี่ๆ กินอาหารครบ 5 หมู่ตามที่ร่างกายต้องการ อาหารเสริมก็ไม่จำเป็น แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยข้อจำกัดบางอย่างของร่างกายผู้สูงอายุ เช่น การกินเนื้อสัตว์เพื่อรับโปรตีน อาจทำให้ย่อยยาก เพราะร่างกายจะย่อยสลายโปรตีนให้กลายเป็นกรดอะมิโน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกาย จึงจำเป็นต้องได้รับกรดอะมิโนจำเป็นจากอาหารเสริม เพื่อทดแทนที่ร่างกายผลิตไม่ได้ 
หรือวิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ได้มาจากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แต่ผลไม้ส่วนใหญ่ก็มีปริมาณน้ำตาลที่สูง พี่ๆ ที่มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน จึงจำเป็นต้องกินวิตามินซีเสริมเพื่อทดแทนนั่นเอง หรือกระทั่งแคลเซียม ที่ช่วยในการซ่อมแซมกระดูก ซึ่งการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงอย่างนมวัวมากเกินไป ก็อาจได้รับน้ำตาลเกินได้ หรืออาหารจำพวกปลาเล็ก กุ้งแห้ง น้ำพริกต่างๆ ก็อาจเสี่ยงต่อการรับโซเดียมมากเกินไปได้ การกินอาหารเสริมแคลเซียม ก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่านั่นเอง 
เลือกกินอาหารเสริมอย่างเข้าใจ ไม่หลงเชื่อโฆษณา ปลอดภัยต่อสุขภาพ
จากข้อมูลทั้งหมดที่แนะนำไป พี่ๆ น่าจะตัดสินใจได้แล้วว่า ควรกินวิตามินหรืออาหารเสริมหรือไม่ แต่ถ้าหากเลือกที่จะกิน ก่อนที่พี่ๆ จะเลือกซื้อ ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และสารอาหารนั้นๆ อย่างถี่ถ้วน มีการปรึกษาคุณหมอก่อน ไม่หลงเชื่อคำโฆษณา คำเชิญชวนจากญาติหรือเพื่อน รวมไปถึงบทความจากสื่อต่างๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากอาหารเสริมบางอย่าง นอกจากจะมีราคาแพงแล้ว หากกินในปริมาณที่มากเกินไป หรือไม่ได้ดูสารอาหารที่ร่างกายแพ้ ก็อาจทำให้เกิดโทษกับร่างกายได้ 
เพราะฉะนั้นแล้ว ต้องเลือกกินอาหารเสริมอย่างเข้าใจ ปลอดภัยต่อสุขภาพแน่นอน และไม่ลืมที่จะกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะจ๊ะ 
อ้างอิง
<a href="https://healthyelderly.md.chula.ac.th/articles/elderly-supplements/" target="_self"><ins>https://healthyelderly.md.chula.ac.th/articles/elderly-supplements/</ins></a>
<a href="https://kinrehab.com/news/view/391" target="_self"><ins>https://kinrehab.com/news/view/391</ins></a>

เข้าสู่วัยเก๋า จำเป็นต้องกินวิตามินหรืออาหารเสริมไหม

รู้หรือไม่ว่า พี่ๆ วัยเก๋ามีความเสี่ยงในการเป็นเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มากกว่าช่วงวัยอื่นๆ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป จะด้วยสาเหตุจากพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เนือยนิ่ง หรือจากโรค NCDs อย่างเบาหวานก็ตาม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจหาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะยิ่งตรวจช้า ก็หมายถึงการที่พี่ๆ ต้องเสี่ยงต่อการที่มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ และยากต่อการรักษา แต่การตรวจคัดกรอง ก็มีความยุ่งยาก ทั้งการส่องกล้อง ที่ต้องมีการรุกล้ำ เพื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจ และการตรวจเลือด ที่ต้องรอผล ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้พี่ๆ หลายคนไม่อยากตรวจคัดกรองนั่นเอง ยังแฮปปี้จึงขอแนะนำวิธีการตรวจแบบใหม่ ด้วย COLOTECT ที่สามารถทำเองง่ายๆ ได้ที่บ้าน ไม่ต้องไปโรงพยาบาล แค่ส่งตัวอย่างทางไปรษณีย์ และรอฟังผลที่บ้าน ซึ่งให้ความแม่นยำสูงถึง 92% เลยทีเดียว จะง่ายและสะดวกขนาดไหน ลองไปติดตามกันเลย

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-05.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากอะไร เริ่มต้น อยากชวนพี่ๆ มารู้ถึงปัจจัยของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่กันก่อน โดยมะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากเซลล์ภายในลำไส้ใหญ่เกิดการกลายพันธ์ุ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็งและเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก่อนจะกลายเป็นเนื้องอก และลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ โดยต้นเหตุของการเกิด จะไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่ปัจจัยพื้นฐานมาจากลักษณะทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เนือยนิ่ง ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเกิดจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs อย่างโรคเบาหวาน โรคอ้วน และที่สำคัญ วัยที่เสี่ยงมากที่สุด คือช่วงวัยตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปนั่นเอง

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-06.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
วิธีสังเกตอาการโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เบื้องต้น วิธีสังเกตอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่เบื้องต้นแบบง่ายๆ เช่น ขับถ่ายผิดปกติ มีอาการท้องเสีย ท้องผูก รวมถึงมีเลือดปนมากับอุจจาระ นอกจากนี้ คืออาการทั่วไป เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ถ่ายไม่สุด หรือหนักที่สุดคือ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้น คือคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะเริ่มแรก ร่างกายมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติ เพราะฉะนั้นพี่ๆ วัยเก๋าจึงจำเป็นต้องหมั่นสังเกตอาการตัวเองอยู่เสมอ

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-07.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
แนวทางการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อทราบถึงอาการเบื้องต้นแล้ว หากพี่ๆ เริ่มสงสัยว่ามีความเสี่ยงจะเป็น จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง โดยจะมีวิธีการตรวจใหญ่ๆ 2 วิธีคือ การการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) โดยจะนำเครื่องมือลักษณะเป็นท่อติดกล้องขนาดเล็ก สอดผ่านเข้าไปในทวารหนัก หรือต้องมีการรุกล้ำ เพื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจ ซึ่งจำเป็นต้องวางยาสลบก่อน รวมถึง การตรวจเลือด ที่ใช้การเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ ทั้ง 2 วิธีนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาล พี่ๆ วัยเก๋าหลายคนจึงเลือกที่จะไม่ไปตรวจ ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการรักษาที่ช้าลง และทำการรักษาได้ยากขึ้น หากตรวจพบมะเร็งลำไส้

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-08.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
รู้จัก COLOTECT นวัตกรรมตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ทำได้เองที่บ้าน ลองมาทำความรู้จักกับ นวัตกรรมเครื่องมือตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ COLOTECT ที่ช่วยให้พี่ๆ สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้นได้ง่ายๆ ที่บ้าน ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องถูกรุกล้ำ ไม่ต้องเตรียมตัวก่อนตรวจ โดยจะเป็นการเก็บตัวอย่างตรวจจากอุจจาระ ที่พี่ๆ สามารถทำเองได้ ด้วยอุปกรณ์ชุดเก็บตัวอย่างที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี ใช้งานง่ายมากๆ พร้อมส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ยังห้องแล็บที่ได้มาตรฐาน ซึ่งใช้เทคโนโลยีการตรวจ DNA ที่ให้ผลแม่นยำสูงถึง 92% และมีความไวสูงในการตรวจพบมะเร็งลำไส้ในระยะเริ่มต้นถึง 88% เลยทีเดียว

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-09.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
ขั้นตอนการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย COLOTECT 1.ตรวจสอบอุปกรณ์ให้ครบถ้วน - กระดาษรองอุจจาระ - ซองไปรษณีย์ - ถุงซิปล็อก Biohazard - หลอดเก็บอุจจาระ - ช้อนตักอุจจาระ - คู่มือการใช้งานและใบยินยอมการส่งตรวจ 2.วางแผนวันเวลาในการเก็บอุจจาระ 3.ลงทะเบียนข้อมูลผ่านแอปฯ 4.เก็บตัวอย่างอุจจาระ และส่งทางไปรษณีย์ภายใน 24 ชม. (ส่งตรวจไปห้องปฏิบัติการได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม) 5.รอตรวจผลผ่านแอปฯ ภายใน 5-7 วัน

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/12/colotect-10.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
ทั้งหมดนี้คือข้อดีของ COLOTECT ตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้พี่ๆ สามารถคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้ง่ายๆ ที่บ้าน ทั้งแม่นยำและปลอดภัย รู้ผลไว ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องถูกรุกล้ำ มั่นใจได้เลยว่า COLOTECT จะทำให้พี่ๆ วัยเก๋า อยากเปิดใจให้กับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น เพราะยิ่งตรวจพบไวเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสรักษาได้ไวขึ้นเท่านั้น ซื้อไปตรวจก่อน ป้องกันทัน! คลิก <a href="https://shope.ee/3L0Lhhcf8H?fbclid=IwAR0F9U-pksemAzfqQB5tNzJM4PFu_L2SQNV0Y_oQyQtyoq4T9nRpv7UxhC0" target="_blank">https://shope.ee/3L0Lhhcf8H</a> ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ <a href="http://www.colotectthailand.com/?fbclid=IwAR0n_d_oJvFOeXoL09CYqB6VLARbBvU602gNi_lKSCjx5GYFoV-yGrMuyeU" target="_blank">www.COLOTECTthailand.com</a>

วัยเก๋าระวัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจก่อน ปลอดภัยกว่า ด้วย COLOTECT ตรวจลำไส้ ไม่รุกล้ำ ทำง่ายได้ที่บ้าน

วัยเก๋าต้องการโปรตีน แต่กินเนื้อสัตว์แล้วย่อยยาก: รู้จัก AminoMOF กรดอะมิโนจำเป็น กินง่าย ย่อยได้เลย

“ล้มคนเดียว เหมือนล้มทั้งบ้าน” 
พี่ๆ เคยได้ยินประโยคนี้ไหม ประโยคที่สามารถสะท้อนความน่ากลัว ของการหกล้มภายในบ้านได้อย่างดีที่สุด เพราะการที่ผู้สูงอายุหกล้ม นั่นหมายถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการบาดเจ็บ หรือหนักเข้าถึงขั้นกลับมาเดินไม่ได้อีกเลย และแน่นอนว่าการบาดเจ็บนี้ ยังส่งผลกระทบไปยังสมาชิกคนอื่นๆ ภายในบ้านที่ต้องมาคอยดูแลไปตลอดนั่นเอง เสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย และความรู้สึกอีกด้วย 
และพี่ๆ รู้หรือไม่ว่า ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุจากการหกล้มภายในบ้านมากถึง 5 แสนคน! หนักถึงขั้นเสียชีวิตมากถึง 1,000 คน หรือเฉลี่ยถึงวันละ 3 คนเลยทีเดียว 
ยังแฮปปี้จึงมีข้อแนะนำ 4 จุดนัดล้มภายในบ้าน ที่พี่ๆ ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาต้องอยู่ตามลำพัง จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย 
1.ห้องน้ำ
พื้นที่ที่เสี่ยงที่สุดภายในบ้าน เพราะนอกจากจะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุง่ายแล้ว ยังเป็นจุดที่เข้าช่วยเหลือยากที่สุดอีกด้วย จึงควรหมั่นเช็ดพื้นให้แห้งอยู่เสมอ และไม่วางของเกะกะตามพื้นห้องน้ำ 
2.บันได
ใน 1 วันพี่ๆ ต้องขึ้นลงบันไดจากห้องนอนลงมาข้างล่าง อย่างน้อยๆ 2-4 ครั้ง เวลาขึ้นลงควรจับราวบันไดให้มั่น ไม่วางของบนขั้นบันได หรือติดแผ่นกันลื่นเพื่อช่วยป้องกันได้ ทางที่ดีที่สุด ควรจะย้ายห้องนอนลงมาชั้นล่างเพื่อให้สะดวกที่สุด 
3.เตียงนอน
พี่ๆ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน ทำให้ต้องระวังเวลาจะลุกลงจากเตียง โดยเวลาลุกให้ตะแคงตัวขึ้นมานั่งก่อน แล้วค่อยวางเท้าบนพื้นให้มั่นคง แล้วจึงค่อยลุก สำคัญคือไม่ต้องรีบร้อน เพราะอาจเสี่ยงหน้ามืดได้ 
4.พื้นที่เชื่อมต่อ
พื้นที่เชื่อมต่อ หมายถึงพื้นที่ที่ต่อจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง เช่น ระเบียงหน้าบ้าน ลานซักล้าง หรือที่จอดรถนอกบ้าง เวลาพี่ๆ เดินผ่านจึงต้องระวังพื้นต่างระดับ ถ้าเป็นนอกบ้านก็ต้องระวังพื้นลื่น แนะนำให้ปรับพื้นให้เสมอกัน หมั่นทำความสะอาด หรือนำธรณีประตูออก 
จาก 4 จุดดังกล่าว นอกจากการที่พี่ๆ ต้องระมัดระวังด้วยตนเองแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดคือการปรับบ้านและสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย แม้ว่าจะทำยากและมีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา บอกเลยว่าคุ้มค่าแน่นอน เมื่อพี่ๆ วัยเก๋าไม่ล้ม ก็ไม่มีใครต้องล้มอีกต่อไป 
อ้างอิง
<a href="https://www.bangkokbiznews.com/social/999513" target="_self"><ins>https://www.bangkokbiznews.com/social/999513</ins></a>
<a href="https://www.facebook.com/watch/?v=4241721905877488" target="_self"><ins>https://www.facebook.com/watch/?v=4241721905877488</ins></a>

“ล้มคนเดียว เหมือนล้มทั้งบ้าน” รู้จัก 4 จุดนัดล้ม ที่วัยเก๋าต้องระวัง!

เชื่อว่าพี่ๆ หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า เมื่อเวลาท้องเสีย นอกจากการใช้ยาช่วยบรรเทาอาการแล้ว สามารถให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอัดลมผสมเกลือ เพื่อช่วยรักษาอาการขาดน้ำ หรือช่วยแก้ท้องเสียได้ 
แต่ความเป็นจริงแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนว่า เป็นข้อมูลเท็จ เพราะนอกจากน้ำอัดลมจะมีปริมาณน้ำตาลสูง ไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่เป็นเบาหวานแล้ว ยังมีแก๊สที่เพิ่มความซ่า ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ หรือหนักเข้า อาจทำให้ปวดท้องหนักกว่าเดิม หรืออาการท้องเสียแย่ลงได้ 
การทดแทนการขาดน้ำจากอาการท้องเสีย แนะนำให้พี่ๆ ดื่มน้ำเปล่าละลายด้วยผงน้ำตาลเกลือแร่ (Oral Rehydration Salt หรือ ORS) ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา เป็นแบบซอง จะช่วยบรรเทาการขาดน้ำจากอาการท้องเสียได้ตรงจุดที่สุด 
โดยปกติแล้ว อาการท้องเสียจะดีขึ้นได้เองใน 1-2 วัน แต่หากพี่ๆ อาการท้องเสียยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้รีบพบแพทย์โดยด่วนนะจ๊ะ

จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่  ดื่มน้ำอัดลมผสมเกลือ ช่วยแก้ท้องเสีย

พี่ๆ เคยรู้สึกไหม ว่าตัวเองเป็นคนโมโหง่ายและขี้น้อยใจ แต่พอกลับมานึกๆ ดูอีกที สมัยตอนที่อายุยังไม่มาก ก็พอจำได้ว่านิสัยแบบนี้ ไม่ได้เคยเป็นมาก่อนแต่อย่างใด แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นได้ 
นั่นเป็นเพราะว่า ลักษณะของการโมโหง่ายและขี้น้อยใจ อาจไม่ใช่นิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เป็นผลมาจากอายุที่มากขึ้น ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้อธิบายว่า เมื่ออายุมากขึ้น การควบคุมอารมณ์จิตใจที่เป็นผลมาจากสิ่งเร้าภายนอก จะถดถอยลง ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงและไม่สมเหตุสมผล 
และแน่นอนว่าลักษณะอาการดังกล่าว ไม่ใช่นิสัย แต่อาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของโรคบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสมองและอารมณ์ความรู้สึกได้ ส่วนจะเป็นโรคอะไรนั้น ลองไปสำรวจกันเลย 

โมโหง่าย เสี่ยงอัลไซเมอร์
อารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย มักเกิดจากการที่สภาพแวดล้อม บุคคลภายนอก หรือกระทั่งการกระทำของตัวเองไม่เป็นดั่งใจ หนึ่งในนั้นคืออาการหลงลืม จำอะไรไม่ค่อยได้ ย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งนี่คืออาการเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ โดยเป็นผลมาจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่สะสมมากเข้า ก็ไปทำลายเซลล์สมอง ส่งผลให้สมองเสื่อมและฝ่อลง 
แนวทางการรักษา จะรักษาด้วยยา เพื่อชะลอให้สมองเสื่อมถอยช้าลง ประกอบกับการปรับพฤติกรรม เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพความจำ 
ขี้น้อยใจ เสี่ยงซึมเศร้า
หนึ่งในอาการที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คืออาการน้อยอกน้อยใจ รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ คืออาการเริ่มต้นของ โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โรคเรื้อรังทางกาย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ความดัน รวมไปถึงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมอื่นๆ ทั้งจากครอบครัวและสังคม ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ 
แนวทางการรักษา จำเป็นอย่างยิ่งที่ทำการรักษากับแพทย์ เพื่อพิจารณาการรักษาด้วยการใช้ยาหรือการใช้วิธีบำบัดอื่นๆ 
เห็นไหมว่า เพียงแค่อาการโมโหง่ายหรือขี้น้อยใจ ก็อาจเป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคร้ายแรงบางอย่างได้ เพราะฉะนั้นแล้ว อย่ามองข้ามเด็ดขาด 
อ้างอิง
<a href="https://www.hfocus.org/content/2023/04/27535" target="_self"><ins>https://www.hfocus.org/content/2023/04/27535</ins></a>

สุขภาพ