เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘โรคหลอดเลือดสมอง’ เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 จากทั่วโลก และยังเป็นสาเหตุของความพิการที่รุนแรงอย่าง ‘อัมพฤกษ์ อัมพาต’ ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นใหม่ราว 10-15 ล้านคนทั่วโลก โดยในจำนวนนี้ 5 ล้านคนเสียชีวิต และอีก 5 ล้านคนกลายเป็นคนพิการอย่างถาวร

ในประเทศไทยพบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเป็นโรคหลอดเลือดสมองจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุข โดยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตอันดับต้นๆ หรือนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพได้อีกด้วย

ผู้สูงอายุที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองจะมีความสามารถในการฟื้นฟูช้ากว่าวัยอื่น เนื่องจากสมรรถภาพร่างกายเสื่อมถอยตามกาลเวลา ทำให้ประสบปัญหาด้านการเคลื่อนไหว หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ผลที่ตามมาก็คือไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง กลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากคนใกล้ชิดและผู้ดูแล

วันนี้ ยังแฮปปี้ จึงอยากจะพาพี่ๆ ไปรู้จักกับ ‘โรคหลอดเลือดสมอง’ หรือ สโตรก (Stroke) ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ จะได้รู้เท่าทันสัญญาณเตือน หรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ และเพื่อจะได้หาทางป้องกันหรือดูแลรักษาโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างถูกวิธี

‘โรคหลอดเลือดสมอง’ คืออะไร?
โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ส่งผลให้สมองไม่สามารถลำเลียงเลือดที่มีออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์สมองได้ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิต โดยความผิดปกติของหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1)หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke)
ร้อยละ 80ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบหรือตัน โดยหลอดเลือดสมองตีบอาจเกิดจากไขมันที่สะสมในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ ส่วนหลอดเลือดสมองอุดตันอาจเกิดจากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ ไหลไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง หรืออาจเกิดจากลิ่มเลือดที่ก่อตัวในหลอดเลือดสมอง มีขนาดใหญ่ขึ้นจนอุดตันหลอดเลือดสมอง

2)หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)
หลอดเลือดสมองแตกเกิดจากความเปราะบางของหลอดเลือดบางจุดร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้บริเวณนั้นโป่งพองและแตกออก หรืออาจเกิดจากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น เป็นผลมาจากการสะสมของไขมัน ทำให้หลอดเลือดปริแตกได้ง่าย ซึ่งความผิดปกติของหลอดเลือดประเภทนี้อันตรายมาก เนื่องจากทำให้เกิดเลือดออกในสมองและปริมาณเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมองจะลดลงอย่างฉับพลัน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
ความผิดปกติของหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นไขมันที่ไปเกาะผนังหลอดเลือด, ลิ่มเลือดที่หลุดจากลิ้นหัวใจหรือผนังหัวใจแล้วไปอุดตันหลอดเลือดสมอง, หรือการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านในทำให้เส้นเลือดอุดตัน เป็นต้น โดยปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1)ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไม่ได้ เช่น พันธุกรรม คนในครอบครัวเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน หรืออายุที่มากขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพลง

2)ปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน, ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidaemia), ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation), การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, ภาวะอ้วน, การไม่ออกกำลังกาย

ผู้สูงอายุสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ ด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ, หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่, จัดการความเครียด, และควบคุมโรคประจำตัวเรื้อรัง

สัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง
เวลาคือเรื่องที่สำคัญที่สุดของโรคหลอดเลือดสมอง เพราะถ้าหลอดเลือดแตก ตีบ หรืออุดตัน ไม่สามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้ จะส่งผลให้สมองและระบบประสาทเกิดความเสียหาย เสี่ยงต่อการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต หรือเสียชีวิต ผู้สูงอายุหรือคนใกล้ชิดจึงควรหมั่นสังเกต 5 อาการผิดปกติของร่างกายที่เป็นสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้

1)ใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งชาหรืออ่อนแรงอย่างฉับพลัน ทำให้มุมปากตก ปากเบี้ยว อมน้ำไม่อยู่ น้ำไหลออกจากมุมปาก
2)แขนขาซีกใดซีกหนึ่งชาหรืออ่อนแรงอย่างฉับพลัน ทำให้สูญเสียการทรงตัว
3)พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน นึกคำพูดไม่ออก
4)การมองเห็นมีปัญหาฉับพลัน อาจมองเห็นภาพซ้อน มองเห็นภาพครึ่งเดียว ตาบอดหนึ่งหรือสองข้าง
5)มีอาการปวดศีรษะรุนแรงฉับพลัน

สัญญาณเตือนดังกล่าว อาจเกิดเพียงอาการเดียวหรือหลายอาการร่วมกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในสมองที่ได้รับความเสียหาย บางรายอาจมีอาการผิดปกติชั่วขณะหนึ่ง แล้วดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนภายใน 4 ชั่วโมง 30 นาที นับจากที่มีอาการผิดปกติครั้งแรก

ผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง
ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อสมองน้อย ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจะสูญเสียการทรงตัว เวียนศีรษะ การเคลื่อนไหวไม่ประสานงานกัน หรือหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่สมองได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก จะมีอาการแบ่งออกเป็น 2 แบบ คืออาการที่เกิดจากความเสียหายของสมองซีกซ้าย และอาการที่เกิดจากความเสียหายของซีกขวา ดังต่อไปนี้

สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา
อัมพาตครึ่งตัวด้านขวา อัมพาตครึ่งตัวด้านซ้าย
ปัญหาการพูด การเข้าใจ ภาษา และการกลืน สูญเสียความสามารถในการประเมินขนาดและระยะทาง
สูญเสียการจัดการ การระวังตัว ปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง สูญเสียการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ
เสียการมองเห็นภาพซีกขวา เสียการมองเห็นภาพซีกซ้าย

การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ภายใน 4 ชั่วโมง 30 นาที นับจากที่มีอาการผิดปกติ โดยผู้ป่วยกลุ่มหลอดเลือดสมองแตกไม่สามารถเปิดหลอดเลือดด้วยยาละลายลิ่มเลือดแบบผู้ป่วยกลุ่มหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้ เพราะอาจทำให้เลือดออกในสมองเพิ่มมากขึ้น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มหลอดเลือดสมองแตก ได้แก่ ยาต้านเกล็ดเลือด, ยาป้องกันเลือดแข็งตัว, ยาลดความดัน, และยาลดไขมัน

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่พ้นขีดอันตรายแล้ว มักจะมีอาการบกพร่องหรือพิการต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกาย ดังนั้น ระหว่างที่ผู้ป่วยรับการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง จะต้องทำการบำบัดเพื่อฟื้นฟูอาการบกพร่องพิการต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย เพื่อไม่ให้อาการบกพร่องพิการทรุดหนักไปมากกว่านั้น

การบำบัดรักษาอาการบกพร่องพิการนี้ เรียกว่า เวชศาสตร์ฟื้นฟู ซึ่งนอกจากจะหมายถึงการฟื้นฟูอาการแขนขาอ่อนแรงจากการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตแล้ว ยังรวมถึงการฝึกฝนเพื่อบำบัดรักษาอาการบกพร่องต่างๆ เช่น การพูด การกลืนกินอาหาร และอื่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามเดิม

เวชศาสตร์ฟื้นฟูโรคหลอดเลือดสมอง
เวชศาสตร์ฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ ระยะเฉียบพลัน, ระยะฟื้นตัว, และระยะทรงตัว

1)ระยะเฉียบพลัน
คือ ระยะ 1-2 สัปดาห์หลังจากเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การบำบัดฟื้นฟูจะเริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยยังนอนอยู่บนเตียงเพื่อป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อ การยึดติดของข้อต่อ และเตรียมความพร้อมของร่างกายสำหรับการบำบัดฟื้นฟูในขั้นต่อไป แต่ก่อนที่จะทำการบำบัดฟื้นฟู ผู้ป่วยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพร่างกายและอาการต่างๆ โดยแพทย์และนักกายภาพบำบัดจะทำงานร่วมกันเพื่อกำหนดเป้าหมายในการฟื้นฟู และให้การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยตามแผนที่วางไว้ต่อไป

2)ระยะฟื้นตัว
หลังจากผ่านพ้นระยะเฉียบพลันไปแล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มทรงตัว และอาจนั่งเป็นเวลานานๆ ได้ ช่วงนี้สามารถทำการบำบัดฟื้นฟูที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือแผนกกายภาพบำบัดเฉพาะทาง โดยจะทำการบำบัดฟื้นฟูอย่างเข้มข้มตามแผนการฟื้นฟูที่แพทย์กำหนดไว้ให้ผู้ป่วยแต่ละราย

3)ระยะทรงตัว
เมื่อพ้นจากระยะฟื้นตัวไปแล้ว โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีการฟื้นฟูที่ดีขึ้น แต่หากไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติได้ก็มีโอกาสสูงที่อาการบกพร่องหรือ พิการนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิต ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่บ้าน จึงต้องทำการบำบัดฟื้นฟูที่บ้าน หรือที่สถานพยาบาลเฉพาะทางอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อรักษาสมรรถภาพนั้นๆ ให้คงอยู่ตลอดไป

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองกลับเป็นซ้ำ
โรคหลอดเลือดสมองกลับเป็นซ้ำ (Recurrent Stroke) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่สามารถดูแลและป้องกันได้ ด้วยวิธีการดูแลตนเองอย่างง่ายๆ ทั้งนี้ผู้สูงอายุควรปฏิบัติเป็นประจำทุกวันตามแนวทางดังต่อไปนี้

1)รับประทานอาหารที่เหมาะสม
2)ออกกำลังกายเป็นประจำ
3)งดดื่มสุราและสูบบุหรี่
4)รับประทานยาต่อเนื่องและไปพบแพทย์ตามนัด
5)ผ่อนคลายความเครียด
6)พักผ่อนอย่างเพียงพอ

สุดท้ายนี้ ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โรคหลอดเลือดสมองมีโอกาสเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มคนวัยอื่น ดังนั้น จึงควรหมั่นสังเกตอยู่เสมอ ว่าตัวผู้สูงอายุเองและคนใกล้ชิดมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ จะได้ป้องกันหรือรักษาได้ทันท่วงที

อ้างอิง
Siriraj E-Public Library (mahidol.ac.th)
อาการและวิธีการรักษา "STROKE" หรือโรคหลอดเลือดสมอง - โรงพยาบาลศิครินทร์ (sikarin.com)
โรคหลอดเลือดสมอง - แตก ตีบ ตัน ฉีกขาด | โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (bumrungrad.com)
สัญญาณเตือน "ผู้ป่วย STROKE" ต้องนำส่งโรงพยาบาล! - โรงพยาบาลศิครินทร์ (sikarin.com)
โรคหลอดเลือดสมองไม่ว่าวัยใดก็เป็นได้ | Bangkok International Hospital