โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม
ยกที่ 2
(ต่อจากตอนที่แล้วซึ่งดิฉันถูกบริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายสินไหม โดยอ้างว่า สถานที่ที่ดิฉันไปรับการรักษาไม่ใช่โรงพยาบาล ดิฉันจึงต้องหาข้อมูลมายืนยัน)
หลังจากที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ดิฉันไปรับการรักษาบอกว่า เอกสารที่กรมบัญชีกลางเคยส่งมาแจ้งว่าโรงพยาบาลนี้อยู่ในรายชื่อโรงพยาบาลของรัฐได้สูญหายไปนานมาแล้ว ดิฉันจึงได้โทรถึงกรมบัญชีกลางทันทีและออดอ้อนอยู่นานกว่าเขาจะยอมหาข้อมูลให้
แต่เท่านั้นไม่พอ 'พ่อกู' ต้องช่วยได้อีกแน่ (หมายถึง พ่อ Google ผู้แสนรู้ของโลกอินเทอร์เน็ตน่ะค่ะ) ดิฉันลองหาว่ามีรายละเอียดอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง และแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ เมื่อดิฉันพบว่ากรมการปกครองได้ประกาศให้สถานพยาบาลดังกล่าวเป็น 'โรงพยาบาล' มาหลายปีแล้วถึงแม้จะจดทะเบียนในนามของ 'คลินิก'
ต่อจากนั้น ดิฉันก็ร่างสารถึงฝ่ายสินไหมและสำเนาถึงผู้บริหารหลายฝ่ายของ อโรคยา ขอให้ทบทวนการพิจารณาสินไหมของดิฉันอีกครั้งโดยได้แนบเอกสารยืนยันความเป็นโรงพยาบาลไปพร้อมกับคำเตือนในตอนท้ายว่า
“ขอให้ติดต่อดิฉันกลับโดยด่วน มิฉะนั้น ดิฉันจะเผยแพร่ความไร้จริยธรรมของท่านทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งจะร้องเรียนไปยังกรมการประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และดำเนินการตามกฎหมายกับท่านต่อไป” ดิฉันได้แนบเบอร์โทรศัพท์ของทนายไปด้วย
แล้วดิฉันก็ส่งจดหมายร้องเรียนไปถึงหน่วยงานต่างๆ เหล่านั้นจริงๆ แต่ อโรคยา คงนึกว่าดิฉันพูดเล่นก็เลยทำตัวเป็นกบจำศีล ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่เป็นเวลาเกือบเดือน ก่อนจะโทรบอกทนายของดิฉันสั้นๆ แบบไม่มีเยื่อใยเลยว่า
“ไม่อนุมัติ!”
”อ๋อ ได้เลย เดี๋ยวจัดชุดใหญ่ให้” ดิฉันคิด ก่อนจะส่งสารฉบับที่สองถึงญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงทุกคนไปว่า “อโรคยา ไม่อนุมัติ ขอให้พวกเราช่วยกันส่งเมลนี้ต่อไปให้มากที่สุด จะได้ไม่มีใครกล้าทำประกันกับ อโรคยา อีก” และพอมีคนตอบเมลของดิฉันกลับมาทำนองให้กำลังใจ ดิฉันก็ส่งกลับไปให้ อโรคยา รับทราบทุกครั้ง!
สองอาทิตย์ให้หลัง ดิฉันได้รับจดหมายจากสำนักงานทนายความของ อโรคยา ขอให้ดิฉันยุติการส่งเมล เนื่องจากทำให้บริษัทฯ เสียหาย มิฉะนั้นจะดำเนินคดีกับดิฉัน เพราะเป็นความผิดทางอาญามีโทษถึงจำคุก
โอ... พระเจ้าช่วยกล้วยบวชชี ทำไมต้องมาข่มขู่ผู้หญิงตัวเล็กๆ กันขนาดนี้นะ โต๊ะใจหมดเลย! ดิฉันนั่งกลัวตัวสั่นอยู่พักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาส่งเมล์ถึงผู้บริหาร อโรคยา ว่า “ขอบคุณที่ได้ให้ทนายข่มขู่มา จะได้ส่งให้เพื่อนๆ ทราบกันต่อไปว่า อโรคยา ทำกับลูกค้าขนาดนี้”
...ไม่นานหลังจากนั้นทนายความของ อโรคยา ก็โทรมาปรึกษาทนายของดิฉัน ว่าทำอย่างไรดีเรื่องถึงจะจบ เพราะตอนนี้บริษัทฯ เสียหายมาก ทนายดิฉันเลยตอบไปว่า “คุณก็ฟ้องเขาซิ เขารอคุณอยู่ แต่ถ้าคุณฟ้องเขาก็ประจานคุณอีกแหละ” ช่างสมเป็นทนายคู่ชีพจริงจริ๊ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น อโรคยา คงไม่รู้ว่า *ทุกครั้งที่จะส่งเมล ดิฉันจะให้ทนายดูก่อนเสมอ จึงมั่นใจว่าถึงจะถูกฟ้องแต่เอาผิดดิฉันไม่ได้แน่* จึงไม่มีความวิตกกังวลใดๆ นอกจากนั้น ดิฉันยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เพราะทนายเป็นเพื่อนกัน แถมบ้านก็อยู่ใกล้ศาลนิดเดียว ขับรถยังไม่ทันเปลี่ยนเกียร์สองก็ถึงแล้ว และถ้าเกิดถึงคราวเคราะห์มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดิฉันก็พร้อมจะไปนอนเล่นในเรือนจำ เพราะเพิ่งลาออกจากงานก่อนกำหนด (Early) จึงว่างมากกก จะมองโลกในแง่ดีว่าเขาส่งไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักเพราะที่นั่นคงไม่มีขนมกินจุบจิบแน่ จะได้หุ่นดีกลับมาเป็นรางวัลชีวิต!
นอกจากนั้น ตลอดเวลาดิฉันก็ไม่ได้นอนรอความพ่ายแพ้เฉยๆ แต่พยายามหาตัวช่วยอื่นๆ เช่น เส้นสายที่พอจะช่วยดิฉันได้ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเดียวกับดิฉันขณะนี้ ส่วนมากจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต (นับเป็นข้อดีของการเป็นเด็กเรียน) คงต้องมีใครสักคนที่ดิฉันพึ่งพาได้บ้างก็เลยลองถาม 'พ่อกู' ดูอีก.. แล้วก็ไม่ผิดหวังเมื่อพ่อกูบอกมาว่าสามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นกรรมการในกรมการประกันภัย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าดิฉันจะขอให้เขาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องหรอกนะคะ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องของดิฉันได้รับการพิจารณารวดเร็วกว่าปกติหน่อยเท่านั้น แล้วฝันของดิฉันก็เป็นจริง เมื่อผู้บริหารของกรมการประกันภัยโทรมือถือหาดิฉันในวันหนึ่งและขอให้ไปพบกับ อโรคยา เพื่อเจรจา
แต่ปรากฏว่าการขึ้นสังเวียนในวันนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะผู้แทนซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ อโรคยา อ้างว่า ยังไม่สามารถตัดสินใจอนุมัติได้ เนื่องจากน้อยใจที่ดิฉันส่งเมลทำให้เขาเสียหายและต้องขอปรึกษานายใหญ่ก่อน ดิฉันล่ะก็ง้ง..งงว่าเขาเล่นผิดบทหรือเปล่า ดิฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายน้อยใจกับการกระทำจากตัวแทนของเขา แถมยังไม่มีผู้บริหารคนไหนติดต่อดิฉันมาอีก ทั้งที่ดิฉันอุตส่าห์ส่งเมลไปคุยด้วยตั้งหลายหน
ในที่สุดเราก็แยกย้ายกันเข้ามุม แต่ดิฉันกลับดีใจที่เขาทำแบบนี้จะได้เล่นสงครามประสาทต่อและตัดสินใจง่ายขึ้น ที่จะไม่ต่อประกันกับ อโรคยา อีก ทนายก็บอกให้ดิฉันลุยได้เลย โดยใช้ข้อความเดิมส่งถึงคนใหม่ๆ และตามด้วยการเขียนข้อความลงในเว็บไซต์ยอดนิยมต่างๆ เช่น พันทิป หรือ ผู้จัดการ ซึ่งการทำแบบนี้น่ากลัวกว่าการฟ้องร้องเพราะ *มันเป็นการสร้างความเสียหายในวงกว้าง ไม่เหมือนการขึ้นศาลที่จะมีคนรับรู้อยู่เพียงไม่กี่คน* นับว่าเป็นหมัดเด็ดในการทำลายคู่ต่อสู้ที่คุ้มค่ามากๆ
และแล้วสองวันต่อมา ขณะที่ดิฉันกำลังนอนรอข้าวเหนียวส้มตำย่อย ก่อนที่จะลุกขึ้นมาส่งเมลตามแผนการอันแยบยล ผู้บริหารของกรมการประกันภัยก็โทรมาบอกว่า “ตกลงเขายอมจ่ายแล้วครับ พี่ช่วยเข้ามาเซ็นรับเช็คหน่อยนะครับ แต่เขาขอให้พี่ช่วยส่งข้อความแก้ไขภาพพจน์ให้เขาได้ไหมครับ”
ดิฉันเลยบอกไปว่า “ส่งได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้พูดว่าพี่เป็นฝ่ายผิด ไม่ต้องจ่ายก็ได้นะคะ เพราะพี่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีเพื่อเงินหรอกค่ะ” ขอเล่นบทนางเอกละครน้ำเน่าหน่อยเถอะ และไม่ลืมบอกไปว่า “โชคดีจังนะคะ ที่ไม่โทรมาช้ากว่านี้ พี่กำลังนอนรอเอาฤกษ์ก่อนจะส่งเมลรอบสองอยู่เชียว”
ผู้บริหารท่านนั้นละล่ำละลักบอกว่า “ผมกับเจ้านายก็รอฤกษ์อยู่ถึงได้โทรมาเวลานี้ ...แล้วก็ฤกษ์ดีจริงๆ ที่พี่ยังไม่ทำอะไร ...เดชะบุญแท้ๆ” โอ้โฮ…น่าภูมิใจจริงๆ นะคะ ที่เรื่องของดิฉันมันสำคัญจนถึงขนาดต้องเอาฤกษ์เอาชัยกันเลยทีเดียว!
ในที่สุด ดิฉันก็ได้รับเงินเต็มจำนวนที่เรียกร้องไปไม่ขาดแม้แต่บาทเดียว (ประมาณกว่าห้าหมื่นบาท) และผู้แทน อโรคยา ก็ให้ดิฉันเซ็นรับรองว่าจะไม่ฟ้องร้องอะไรเขาอีก รวมทั้งให้ส่งเมลแจ้งคนกลุ่มเดิมทราบว่า เขาได้จ่ายเงินดิฉันแล้ว
ดิฉันก็ทำตามโดยบอกว่า เรื่องราวได้จบลงด้วยความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกรมการประกันภัย แต่การที่บอกว่าเขาจ่ายเงินย่อมเป็นคำอธิบายในตัวเองอยู่แล้วว่า ใครถูกตั้งแต่ตอนแรก จริงไหมคะ? น่าเห็นใจก็แต่ทางผู้บริหารกรมการประกันภัย ที่พากันถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ตอนดิฉันลากลับและบอกว่า
“ดีใจจริงๆ ครับ ที่ทุกอย่างยุติลงด้วยดี ไม่งั้นผมแย่แน่ ถูกเร่งทั้งสามทาง ไหนจะนายใหญ่สุดที่นี่ ไหนจะท่านกรรมการ ไหนจะสำนักนายกฯ”
“เอ..ทำไมมีสำนักนายกฯ เข้ามาเกี่ยวด้วยล่ะคะ” ดิฉันชักสงสัย “ก็พี่ร้องเรียนไปที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยไม่ใช่หรือครับ เรื่องมันก็เลยไปถึงสำนักนายกฯ”
อุ๊ยตาย... ไม่นึกเลยว่าเราจะโกอินเตอร์ขนาดน้านน อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะที่ไม่ได้นิ่งนอนใจและรีบดำเนินการให้เป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งต้องขอโทษผู้บริหารกรมการประกันภัย ที่ทำให้ท่านต้องถึงกับถามดิฉันแบบหวาดๆ ว่า
“เอ่อ... แล้วนี่ผมจะถูกร้องเรียนด้วยหรือเปล่าครับ” ดิฉันยิ้มหวานจ๋อยตอบทันทีว่า “แหม...ใครจะไปทำอย่างนั้นล่ะค่ะ อุตส่าห์ช่วยเหลือพี่ขนาดนี้” ขณะที่ในใจก็นึกว่า
“แต่ถ้าดองเรื่องของพี่ก็ไม่แน่หรอกค่ะคู้ณ” 🤣🤣
____________
***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด
Share this article