โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม
ยกที่ 1
คราวนี้ก็มาถึงคิว บริษัทประกันบ้างค่ะ สำหรับบริษัทแรกที่ขึ้นชกกับดิฉันคือ บริษัท ดี.โอ.จี. ซึ่งเป็นบริษัทที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมานาน ดิฉันและครอบครัวได้ทำประกันมาเป็นเวลาหลายปีแต่เบิกไปน้อยมาก เมื่อเทียบกับเบี้ยที่จ่ายไป และทุกครั้งก็ไม่มีปัญหา จะเป็นเพราะตัวแทนให้การประสานงานอย่างดีหรือเพราะเบิกจำนวนน้อยก็ไม่ทราบ เพราะพอเบิกเป็นหมื่นก็เกิดเรื่องทันที!
คือก่อนหน้านั้นดิฉันมีอาการปวดแขนเรื้อรังมาเป็นเวลาหลายปี ไม่ได้ไปแบกอิฐถือปูนที่ไหนหรอกค่ะ หมอเคยวิเคราะห์ว่าเป็น Shopping Syndrome หรือ โรคบ้าช้อปปิ้ง นั่นเอง เก๋ซะไม่เมี่ยะ! แต่ความจริงไม่ได้เกิดจากหิ้วถุงของแบรนด์เนมจนแขนเจ็บหรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะหิ้วพวกกับข้าวหรือผลไม้มากกว่า เพราะระยะนั้นต้องซื้อของให้บ้านคุณแม่ด้วย ก็เลยเกินพิกัดไปหน่อย
ดิฉันได้พยายามรักษาด้วยวิธีต่างๆ มากมาย ตั้งแต่กายภาพ นวด จับเส้น ฝังเข็ม ฯลฯ แต่ก็ไม่หายเสียที จนในที่สุดคุณหมอคนหนึ่งได้แนะนำวิธีการใหม่ ได้แก่ การฉีดโบท็อกซ์ไปที่กล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อมัดที่มีปัญหาไม่ทำงานจะได้ไม่ปวด โดยใช้หลักการเดียวกับการฉีดโบท็อกซ์ที่หน้า เพื่อให้หน้าตึงนั่นแหละค่ะ
ปัญหามันก็เลยเกิด เมื่อดิฉันส่งใบเบิกค่ารักษาพยาบาลไปที่ประกันและแนบรายการยาไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เนื่องจาก ดี.โอ.จี ไม่ยอมจ่ายเพราะหาว่าดิฉันไปนอนโรงพยาบาลเพื่อฉีดโบท็อกซ์เสริมความงาม!
ดิฉันได้โทรศัพท์ไปชี้แจงข้อเท็จจริงที่ฝ่ายสินไหม แต่เขาก็ยังไม่จ่าย ครั้งนี้ยังดีที่ตัวแทนคอยดูแลให้คำปรึกษาดิฉัน (ไม่เหมือนตัวแทนในตอนต่อไป)
และบอกให้ดิฉันเขียนจดหมายโวยไปอีกรอบ ดิฉันก็ลงมือใช้วาทศิลป์ที่มีอยู่บรรยายรายละเอียดการรักษาทั้งหมด รวมถึงขอให้เขาใช้สมองคิดดูให้ดีว่า
“ถ้ากรูอยากแขนตึง คงต้องฉีดทั้งสองแขน ไม่ใช่แขนเดียว เพราะกรูไม่ได้มีแขนเดียวแบบกัปตันคุ้ก (เว้ย)”
พร้อมทั้ง *แจงตัวเลขไปว่าดิฉันและครอบครัวได้ส่งเบี้ยไปทั้งหมดเป็นเงินเท่าไร (หลายแสนอยู่) ดังนั้น ถ้าเบิกเงินเพียงเท่านี้ไม่ได้ก็คงไม่ต่อประกันอีกแน่นอน*
ปรากฏว่าได้ผล ไม่นานหลังจากนั้น ดี.โอ.จี ได้จ่ายเงินให้ดิฉันเต็มจำนวน (ประมาณสองหมื่นกว่าบาท ซึ่งนับว่าโขอยู่สำหรับ พ.ศ. นั้น) ดิฉันจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทประกันต่อไปพักหนึ่ง จนกระทั่งกรรมขี่จรวดตามมาทัน ทำให้ดิฉันเห็นผิดเป็นชอบเปลี่ยนไปทำประกันกับอีกบริษัทฯ และต้องขึ้นสังเวียนชกกันเสียสะบักสะบอม
ใครๆ ก็รู้ใช่ไหมคะ ว่าเวลาตัวแทนมาเกลี้ยกล่อมให้เราทำประกัน กับเวลาเราเรียกร้องสินไหมน่ะ มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว! คือตอนเขาต้องการเงินจากเราเขาจะพูดสารพัดให้เราเข้าใจว่าอะไรๆ ก็เบิกได้โม้ดดด เพื่อให้เราจ่ายเบี้ยเร็วๆ แต่พอเกิดเหตุให้เราต้องเบิกเงินจากเขา มันกลับมีข้อแม้ต่างๆ นานา ซึ่งแอบเขียนซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ ในกรมธรรม์ เหมือนเวลาโฆษณาการลงทุนก็จะเขียนคำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง....” ไว้เล็กจนต้องใช้แว่นขยายอ่าน หรือเวลาโฆษณาเหล้าตอนจบก็จะมีเสียงเตือนถึงโทษของเหล้าเร็วปรื้อ แบบที่กลัวคนดูจะฟังทันแล้วจะขายเหล้าไม่ออก!
ตัวแทนของ บริษัท อโรคยา ปรมา ลา.ภา. คนที่มาติดต่อดิฉันเป็นต้นแบบตัวแทนที่ว่าเลยแหละค่ะ แถมพูดหวานเสียจนเลี่ยน นอกจากนั้นยังมายุยงให้ดิฉันไปสอบเป็นตัวแทน เพื่อจะได้ส่วนลดค่านายหน้าถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้ารวมค่านายหน้าของครอบครัวดิฉันทั้งหมดก็เป็นเงินโขอยู่ มีหรือที่เกลือตัวแม่อย่างดิฉันจะยอมพลาด
นอกจากนั้น ดิฉันยังจะได้หน้าจากการประหยัดให้เจ้านายที่ว่าง่ายยอมยกเลิกประกันของเก่า เพื่อมาทำกับ อโรคยา ตามคำแนะนำของดิฉัน โดยแม่ตัวแทนคนนี้ไม่ได้พูดเลยว่า *ถ้าดิฉันเป็นตัวแทนของตัวเอง หล่อนจะไม่มาดูดำดูดีอะไรทั้งนั้นเพราะหล่อนจะได้ค่านายหน้าจากดิฉันน้อยมาก*
ทั้งที่ความจริงถ้ารวมของครอบครัวเจ้านายดิฉันด้วยเป็นทั้งหมด 6 กรมธรรม์ อย่างน้อยก็น่าจะพอค่าโทรศัพท์สำหรับโทรมาถามข่าวคราวช่วงที่ดิฉันมีปัญหาบ้าง ตลอดเวลาดิฉันจึงเข้าใจว่าการที่ดิฉันไปสอบเป็นตัวแทนก็เพื่อให้ได้ส่วนลดสำหรับตัวเองและเจ้านายเท่านั้น และถึงอย่างไรดิฉันก็ยังเป็นลูกค้าของหล่อนอยู่
ตอนที่ไม่มีปัญหาก็โอเค หล่อนยังมาคอยรับส่งเอกสารเพื่อนำไปเบิกค่าสินไหมตามปกติ จนกระทั่งดิฉันเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแล้ว อโรคยาไม่อนุมัติการจ่ายเงินโดยอ้างว่าดิฉันไม่ได้ทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาล เนื่องจากโรงพยาบาลที่ดิฉันไปใช้บริการนั้น มีคำว่าคลินิกนำหน้าและไม่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยใน ทั้งที่ในกรมธรรม์ระบุชัดเจนว่า "เนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การผ่าตัดต้อกระจกไม่จำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาล แต่บริษัทฯ ยินยอมที่จะจ่ายเงินเท่ากับการรักษาแบบผู้ป่วยใน” นั่นแหละจึงเห็นธาตุแท้ของหล่อน!
เพราะเมื่อดิฉันโวยไป หล่อนกลับพูดสั้นๆ ง่ายๆ แค่ว่า "คำว่าโรงพยาบาลของบริษัทฯ หมายถึงสถานพยาบาลที่มีเตียงผู้ป่วยยี่สิบเตียงขึ้นไปค่ะ” แล้วหล่อนก็วางหูโดยไม่คิดที่จะช่วยเหลืออะไรดิฉันแม้แต่น้อย
สรุป กรูเป็นที่พึ่งแห่งกรู ตามเคย ดิฉันคิดปลงก่อนที่จะโทรหาโรงพยาบาลแห่งนั้น เพื่อขอเอกสารยืนยันความเป็นโรงพยาบาล แต่เจ้าหน้าที่กลับบอกว่าเอกสารที่กรมบัญชีกลางเคยส่งมาแจ้งว่า โรงพยาบาลนี้อยู่ในรายชื่อโรงพยาบาลของรัฐได้สูญหายไปนานมาแล้ว!
เออ..ให้มันได้อย่างนี้ซิ (วะ) แต่มือขั้นเทพอย่างดิฉันมีหรือจะโดนน็อก ตรงกันข้ามดิฉันเล่นซะคู่ชกเสียศูนย์ไปเลยแหละค่ะ!
ถ้าอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร เข้มข้นขนาดไหน ก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ
____________
***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’
เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด
Share this article