โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม
เรื่องนี้ค่อนข้างเป็น เรท R ซึ่ง 'เหมาะกับผู้ชมที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ผู้ที่อายุน้อยกว่าควรได้รับคำแนะนำ' แต่ดูแล้วอาจเกิดอาการปลงมากกว่าอย่างอื่น เพราะผู้แสดงนำฝ่ายหญิง คือดิฉันเองค่ะ!
เหตุเกิดเมื่อดิฉันไปตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาล 'แพงพวย' เจ้าเก่าอีกนั่นแหละ ความจริงดิฉันเคยตรวจมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเป็นหมอผู้หญิง และทุกคนก็ใช้เครื่องมือในการตรวจ แต่คราวนี้แตกต่างตรงที่หมอเป็นผู้ชายและใช้มือตรวจแทน!
ไม่ใช่เพราะลืมเอาเครื่องมาหรอกค่ะ เนื่องจากตอนแรกแกก็ใช้เครื่องมือวนไปวนมา แบบที่ชาวบ้านเขาทำกันนั่นแหละ ดิฉันเองนอนหลับตาพริ้ม เพราะแอร์ก็เย็น เจลที่ทาก็เย้นเย็น ทำเอารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปจนเกือบหลับ...
และแล้วก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อรู้สึกว่าไอ้ที่วนอยู่บนหน้าอกทั้งสองข้างของดิฉันไม่ใช่เครื่องมือ มันคือสัมผัสที่เคยคุ้นเคย (เมื่อหลายปีมาแล้ว) ของคนที่บ้าน... เอ๊ะ! แต่นี่มันไม่ใช่บ้านนี่หว่า! ดิฉันลืมตาโพลงขึ้นทันที แล้วก็ได้พบว่าอีตาหมอคนนั้นกำลังใช้มือคลำเต้านมของดิฉันวนไปวนมา ถึงแม้จะไม่ใช่ในลักษณะเคล้าคลึง แต่ดิฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมจะต้องใช้มือ ในเมื่อเครื่องมือก็มี และดิฉันไม่ได้มีอะไรผิดปกติที่จะต้อง *ใช้สัมผัสมนุษย์เป็นตัวตัดสินเพิ่มเติม* แต่ตอนนั้นดิฉันทั้งตกใจและไม่แน่ใจว่า สิ่งที่อีตาหมอนั่นทำมันถูกหรือผิด จึงไม่ได้ร้องแรกแหกกระเชอออกไปในทันที
พอกลับถึงบ้าน ดิฉันรีบเล่าให้สามีฟัง แต่ดูแกไม่รู้ร้อนรู้หนาว จะเพราะหมดช่วงโปรโมชันไปหลายสิบปีแล้ว หรือเพราะดีใจที่มีคนมาช่วยทำให้ดิฉันเคลิ้มแทนแกก็ไม่รู้ นี่ลองถ้าเป็นลูกสาวโดน มีหวังรีบวิ่งแจ้นไปต่อยหน้าหมอถึงโรงพยาบาลแน่!
“เอาวะ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พุทธวจนแว่วเข้ามาในโสตประสาท วันรุ่งขึ้น ดิฉันจึงโทรไปที่สำนักผู้อำนวยการและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เลขาฯ ฟัง เธอท่าทางตกใจเพราะการตรวจโดยปกติจะใช้เครื่องมือหรือ *ถ้าจะใช้มือหมอก็จะต้องบอกให้คนไข้รู้ตัวก่อน* เธอปลอบใจว่า ถึงแม้หมอคนนี้จะไม่เคยมีประวัติเสีย แต่ทางโรงพบาบาลจะตรวจสอบให้โดยด่วนพร้อมทั้งขอโทษดิฉันเป็นการใหญ่
ไม่นานหลังจากนั้น ดิฉันก็ได้รับรายงานว่า ทางโรงพยาบาลได้ทำการสอบสวนหมอคนนั้น ซึ่งแก้ตัวว่าเป็นวิธีการตรวจตามปกติ แต่ผิดพลาดตรงที่ไม่ได้ปฏิบัติเป็นขั้นตอน ทางโรงพยาบาลจึงได้ตักเตือนไปเป็นที่เรียบร้อย ดิฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าที่อีตานั่นไม่บอกก่อนจะลงมือเป็นเพราะเห็นดิฉันกำลังเคลิบเคลิ้ม เลยไม่อยากทำลายความสุขหรือเปล่าก็ไม่รู้
นี่นับว่าโชคดีที่ดิฉันเป็นผู้ประสบเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่เด็กสาวหรือลูกหลานใคร ซึ่งถ้ามาเจอเข้า อาจขวัญหนีดีฝ่อและเสียความรู้สึก (เพราะอีตาหมอคนนี้ก็ไม่ได้หล่อเข้าขั้นพระเอกซะด้วย) จนไม่กล้ามาหาหมอตรวจมะเร็งเต้านมอีกเลยก็ได้ และ *ผลเสียก็คงตกอยู่ที่ตัวคนไข้เอง ที่อาจเป็นโรคร้ายโดยไม่รู้ตัว*
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง เหมือนที่พระท่านว่า “ในดีมีเสีย ในเสียมีดี” เพราะมันทำให้ดิฉันอดภูมิใจเล็กๆ ไม่ได้ว่า อีตาหมอนั่น ซึ่งไม่เคยมีประวัติเสียและไม่ได้เป็นโรคจิต แต่ดันลืมตัวขนาดนั้น ก็แสดงว่าของดิฉันมันยังอยู่ในสภาพใช้ได้อยู่ (เผอิญเป็นคนมองโลกในแง่ดีน่ะ)
แหม... ก็ถ้าเหมือนถุงกาแฟหรือลูกฟักแกคงไม่หน้ามืดยอมเสี่ยงชื่อเสียงละมั้ง ว่ามั้ยล่ะคะ?!
อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ
____________
***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด
Share this article