โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า หมอในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอัศวินชุดขาว ที่เสียสละช่วยรักษาชีวิตพวกเรา โดยเฉพาะในช่วงโควิด หรือคุณหมอส่วนใหญ่ซึ่งมีจรรยาบรรณ แต่หมายถึงเฉพาะบางคนที่มีพฤติกรรมแบบที่ดิฉันประสบมาเท่านั้น

ประเภทแรกคือหมอที่แค่เหลือบตามองคนไข้แล้วเขียนใบสั่งยาโดยไม่พูดไม่จา และพอคนไข้ซักถามก็ทำท่าเหมือน 'ดอกส้มสีทอง' จะร่วงจากปาก (ดอกพิกุลมันเชยไปแล้วสำหรับ พ.ศ.นี้) ทำให้คนไข้ต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ ส่วนใหญ่จะเป็นกับหมอสูงวัยที่คงลืมไปว่า *ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอและชัดเจน เพื่อสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมและไม่ยินยอมให้การรักษาพยาบาล* ตามประกาศข้อที่ 3 ใน 'สิทธิผู้ป่วย' ของแพทยสภา ซึ่งถ้าใครอยากทราบรายละเอียดก็ถามพ่อกู (เกิ้ล) ดูได้ค่ะ

สำหรับดิฉันพอจะรับได้กับพฤติกรรมเช่นนี้ ถ้าเกี่ยวกับตัวเองหรือไม่ได้เป็นโรคอะไรร้ายแรง แต่มีครั้งหนึ่งที่ไม่อาจนิ่งดูดายเพราะมันเป็นโรคที่อาจทำให้คุณแม่ดิฉันต้องพิการไปตลอดชีวิต... คือหลังจากที่คุณแม่ได้รับอุบัติเหตุจากการตกหลุมอากาศเครื่องบินก็ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล 'ว่านสี่ทิศ' คุณหมอเจ้าของไข้ก็น่าจะไว้ใจได้ ถ้าดูจากประวัติซึ่งเป็นผู้เชี่ยวทางด้านระบบประสาท นอกจากนั้นยังน่าจะมีประสบการณ์มามากเพราะแกอายุใกล้ 60 แต่ดิฉันไม่ได้ตระหนักว่าการที่แกวัยถึงขนาดนี้คงทำให้แกเบื่อที่จะฟังคำถามเดิมๆ จากคนไข้หรือญาติโดยลืมนึกไปว่า พวกเราไม่เคยได้เรียนหมอมาและแม่ก็ไม่เคยป่วยแบบนี้ จึงจำเป็นต้องซักถามอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าเรามาถูกทางแล้ว

ตอนแรกๆ ที่แกทำหน้าบึ้งตึงและตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ดิฉันก็ทำใจว่าแกคงยังยุ่งหรืออาการยังไม่ชัดเจนพอจะวินิจฉัยได้ว่าคุณแม่มีโอกาสจะเดินได้อีกหรือเปล่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปร่วมสองเดือน แกก็ยังทำท่าอมพะนำเหมือนเดิม ไม่เคยอธิบายอย่างละเอียดให้ฟังเลยว่า ขณะนี้กำลังรักษาอย่างไรอยู่ และมีแผนที่จะทำอะไรต่อไป ดิฉันเองก็เครียดเพราะคุณแม่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น

วันหนึ่ง ขณะที่พาคุณแม่ไปทำกายภาพ ดิฉันก็เลยลองเลียบๆ เคียงๆ ถามนักกายภาพดูว่า คุณหมอได้พูดอะไรเกี่ยวกับอาการของคุณแม่บ้างหรือเปล่า นักกายภาพตอบว่า “แกไม่ค่อยพูดอะไรหรอกครับพี่ มาถึงแกก็เขียนคำสั่งไว้พวกเราก็ปฏิบัติตาม”

ดิฉันเลยฟิวส์ขาดโพล่งออกไปว่า “เออ..แปลกนะ แล้วจะให้คนไข้ตรัสรู้เองหรือไง นี่ถ้าเป็นแม่ตัวเองแกจะเข้าใจบ้างไหมว่าลูกหลานเขาก็อยากรู้ขั้นตอนการรักษา... พี่ฝากเรียนคุณหมอด้วยนะว่า ถ้าไม่ต้องการตอบปัญหาของคนไข้ก็ควรไปเป็นสัตวแพทย์จะดีกว่า เพราะหมามันพูดไม่ได้ หมอจะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียเวลาโดนคนไข้ซักถาม!”

นักกายภาพ “!!!!”

ไม่ทราบว่านักกายภาพได้ถ่ายทอดคำพูดของดิฉันทุกคำหรือไม่ แต่ดิฉันสังเกตว่าหลังจากนั้นแกให้ข้อมูลมากขึ้น และไม่ทำหน้าง้ำหน้างอเหมือนเคยอีก แกอาจจะเริ่มได้คิดว่าการเป็นสัตวแพทย์มันเสี่ยงกับการต้องฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า สู้อดทนคนฟังญาติเซ้าซี้ยังดีกว่า แถมเจ็บตัวน้อยกว่าเยอะเลย!

เหตุการณ์ดังกล่าวถ้าเกิดขึ้นในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องยากที่จะร้องเรียน เพราะ *หมอทุกคนต้องทำตามกฎระเบียบของโรงพยาบาล ดังนั้นหากมีปัญหาอะไรที่ไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้ ก็สามารถแจ้งไปที่แผนกร้องเรียนหรือสำนักผู้อำนวยการ* ซึ่งเขาพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ที่คลินิกซึ่งหมอที่มีปัญหาเป็นเจ้าของก็อาจต้องงัดวิทยายุทธ์เพิ่มเติมมาใช้

ดิฉันเองก็เคยเจอตอนพาคุณแม่ไปรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการรักษาอาการปวด คุณหมอเจ้าของคลินิกอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าแรกก็เลยมีพฤติกรรมไม่แตกต่างกัน แต่ที่แย่กว่าเยอะ คือยาที่แกจ่ายให้คนไข้ถุงเบ้อเริ่มราวกับจะให้กินจนอิ่มแทนข้าวนั้น ไม่มีการบอกรายละเอียดอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อยา ขนาดที่ใช้ ผลข้างเคียง หรือใช้รักษาอาการอะไร

พอดิฉันถามกับเจ้าหน้าที่ห้องยาก็ได้รับคำตอบว่า “เราบอกไม่ได้ค่ะ เป็นคำสั่งคุณหมอ”

ดิฉันรับยามาอย่างงงๆ และนึกในใจว่า “แล้วถ้าเอ็งให้ยาผิดหรือเอาแค่วิตามินมาให้กิน เพื่อคนไข้จะได้เกิดอุปาทานจนหายเองแบบวิธีที่จิตแพทย์ใช้ ฉันมิเสียเงินมากมายไปโดยใช่เหตุหรือ”

และยังมียาทาแก้ปวดอีก ซึ่งจะรู้ได้ไงว่าไม่ได้เอาแป้งเปียกมากวนแล้วใส่กลิ่นให้เหมือนยาลงไป! ดิฉันต้องคิดมากค่ะ เพราะแต่ละครั้งต้องจ่ายเป็นพันๆ แต่ได้ยาอะไรมาก็ไม่รู้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าคุณหมอแกเอาวิธีปฏิบัติแบบนี้มาจากไหน เพราะความจริงแกก็เป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลรัฐที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

พอกลับมาถึงบ้าน ดิฉันจึงหายงงและโทรไปร้องเรียนกับแพทยสภาและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยไม่รอช้า หลังจากนั้นต่อมา เมื่อพาคุณแม่ไปที่คลินิกดังกล่าวอีกก็ปรากฏว่า ยาทุกซองมีชื่อเสียงเรียงนามครบ และที่ตลกคือตอนดิฉันกำลังรับยา คุณหมอคนนั้นได้เดินออกมาจากห้องและพูดแบบยิ้มๆ แต่เสียงดังเหมือนจงใจให้ทุกคนได้ยินว่า

“ตอนนี้มีชื่อยาครบแล้วนะ ไม่รู้ใครโทรไปร้องเรียน” คราวนี้ไม่กลัว 'ดอกส้มสีทอง' จะร่วงจากปากแฮะ

คนไข้ที่ยืนข้างๆ ดิฉันหันมากระซิบว่า “ก็ถูกแล้วนะคะคุณ ตามโรงพยาบาลเขายังเขียนชื่อยากันทั้งนั้น ทำแบบนี้คนไข้ก็ไม่แน่ใจว่าให้กินอะไรเข้าไป ยาผีบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ หนูเองก็อยากฟ้องใครซักคนมาตั้งนานแล้วแต่ไม่รู้จะทำไง”

ดิฉันเลยต้องลากแขนน้องคนนั้นมาอบรมวิธีการร้องเรียนพักหนึ่ง พร้อมทั้งย้ำในตอนจบว่า “ถ้าหนูเห็นอะไรไม่ถูกต้อง อย่านิ่งดูดายเพราะ *ไม่ใช่เราคนเดียวที่ได้ประโยชน์ คนอื่นๆ ก็พลอยได้ไปด้วย ไม่ต่างจากการทำบุญ* หรอกจ้ะ อย่าลืมนะ ต้องรีบทำทันที”

และนึกต่อในใจว่า “อย่าให้ต้องเป็นกูรูอยู่เรื่อยเล้ย คุณแม่ขอร้องงงง!”

อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ

       ____________

***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด