โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม

เอาล่ะค่ะ เรามาตามล้วงตามเช็คโรงพยาบาล ‘แพงพวย’ กันต่อดีกว่าคราวนี้นอกจากดิฉันจะได้เงินคืนแล้ว ยังได้ผลประโยชน์อย่างอื่นพ่วงมาด้วยอีกต่างหากนะ

เหตุเกิดตอนจะจ่ายเงินอีกตามเคย ซึ่งดิฉันขอย้ำคุณผู้อ่านว่า อย่าลืมให้ทางการเงินเขาพิมพ์รายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาตรวจก่อนนะคะ เพราะถ้าไม่บอกเขาก็จะเอามาเฉพาะใบสรุปซึ่งรวมค่าใช้จ่ายแต่ละรายการไว้แล้ว โดยเราจะไม่ทราบอะไรเลย เช่น ค่ายา 10,000 บาท ต้องให้เขาแจงมาว่ามียาอะไรบ้าง หรือ ค่าเวชภัณฑ์ ก็ต้องแจงรายการมาให้หมด

และถ้าเขาคิดว่าบรรพบุรุษเราเป็นฝรั่งเลยพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษล้วนมาให้(ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนั้น) ก็บอกเขาว่าขอภาคภาษาไทย ไม่ใช่เพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง แต่เพราะส่วนใหญ่เป็นศัพท์ทางการแพทย์ และถ้าอ่านภาคภาษาไทยแล้วยังงงอยู่อีกก็ขอให้พยาบาลประจำชั้นช่วยอธิบายหรือจดให้ทีละรายการ

ที่ต้องละเอียดขนาดนี้เพราะดิฉันเองเคยเจอทั้งของเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้ใช้ และยาที่หมอไม่ได้สั่งหรือสั่งคนละแบบ เช่น ความจริงหมอสั่งยาที่คุณสมบัติเหมือนยานอกแต่ผลิตในประเทศเพื่อช่วยคนไข้ประหยัด แต่ปรากฏว่าแคชเชียร์เธอกลัวเงินเราจะเหลือเลยคิดราคายานอกให้!

แต่ครั้งนี้หนักกว่าเพื่อน เพราะเธอดันเอาค่าใช้จ่ายของห้องข้างๆ มารวมกับห้องเราหนังหน้าดิฉันคงดูใจดีหรือบุคลิกเหมือนเศรษฐีจนน่าจะจ่ายเงินให้เพื่อนบ้านหรือไงไม่รู้ พอเห็นใบเรียกเก็บเงินเท่านั้นแหละดิฉันควันออกหูทันที... โอ… พระเจ้าจอร์ช อีกแล้วหรือนี่มันไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย ทั้งหมด 6,000 กว่าบาท! (ถ้าเทียบเป็นเงิน ปัจจุบันคงเท่ากับหลักหมื่น)

ดิฉันเรียกหัวหน้าพยาบาลมาสอบถามข้อเท็จจริงทันทีและหลังจากหายไปครู่ใหญ่ เธอก็กลับเข้ามาสาธยายความผิดพลาดเสียยาวเหยียดเดชะบุญที่เธอคนนี้ปฏิบัติกับคุณแม่อย่างดีมากมาตลอดหลายวันที่ป่วยอยู่ ดิฉันเลยต้องพยายามเอาธรรมะเข้าข่มและให้อภัยซึ่งผิดวิสัยปกติของดิฉันที่ถือคติว่า “ความดีต้องตอบแทนความแค้นต้องชำแหละ!”

แต่ความจริงขอสารภาพว่า มาใจอ่อนก็อีตอนเธอเสนอจะให้ออกจากโรงพยาบาลในช่วงเย็นได้โดยไม่คิดค่าห้องเพิ่มมากกว่าแหม… ทำยังกับโรงแรมที่ให้ late check out ยังไงยังงั้น ดิฉันกลัวเธอจะเสียศรัทธาเลยไปทำงานก่อนแล้วกลับไปรับคุณแม่ตอนเย็นอย่างน้อยก็ประหยัดค่าแอร์ที่บ้านได้หลายชั่วโมง ถูกต้องตามนโยบายของ ‘เกลือตัวแม่’

นอกจากนั้นเธอยังกุลีกุจอจัดการจองรถพยาบาลในราคาลดพิเศษให้ไปส่งคุณแม่ด้วยดิฉันเลยฉลองศรัทธาเธออีกด้วยการขอให้รถพยาบาลแวะไปส่งดิฉันที่บริษัทฯ เพื่อทำธุระต่อ ก่อนพาคุณแม่กลับบ้านพร้อมพยาบาลและคนดูแล คนขับเขาก็ใจดีนะคะอุตส่าห์ขับออกนอกเส้นทางให้พร้อมทั้งเปิดไฟบนหลังคาแว้บๆทำให้ดิฉันรู้สึกโก้มากตอนลงจากรถดีแต่เขาไม่ได้เปิดหวอไปด้วยไม่งั้นมีหวังผู้คนคงแตกตื่นกันทั้งบริษัทฯ

แต่พอหันไปมองอีกทีเท่านั้นแหละ หนอย... เจ้ารถพยาบาลดันขับเลยสี่แยกที่จะเลี้ยวไปบ้านดิฉันซะงั้น คุณแม่เลยได้นอนรถเล่นอีกรอบนับว่าได้ใช้บริการคุ้มค่ามากกก

ก่อนกลับวันนั้นดิฉันได้แจ้งให้คุณหัวหน้าพยาบาลทราบว่า “ความจริงพี่มีเรื่องที่อยากร้องเรียนอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพยาบาลประจำที่คอยดูแลคุณแม่ ซึ่งไม่ได้อ่านคำสั่งคุณหมอ จึงไม่ได้เปลี่ยนการให้ยา จนกระทั่งพี่มาทราบจากคุณหมอภายหลัง” (ด้วยความช่างสงสัยของดิฉันเอง)

“นอกจากนั้น เธอคนนี้ยังดูดเสมหะคุณแม่อย่างรุนแรงจนมีเลือดออกซึ่งพี่ทราบว่าถ้าเธอทำถูกวิธีก็จะไม่เป็นแบบนั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคุณน้องได้ดูแลคุณแม่เป็นอย่างดีมาตลอด พี่จึงจะพยายาม (อย่างยิ่งยวด) ที่จะไม่ร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรเพียงแต่ขอให้คุณน้องช่วยอบรมพยาบาลคนนั้นดัวยแล้วกันค่ะ”

เธอรับปากและขอบคุณดิฉันใหญ่ ที่ไม่ทำให้เธอและลูกน้องเดือดร้อน ปรากฏว่าบุญกุศลจากการให้อภัยนี่ส่งผลทันตาจริงๆ ค่ะ เพราะเมื่อคุณแม่เข้าโรงพยาบาลครั้งต่อมา คุณหัวหน้าพยาบาลคนเดิมได้มาพูดกับดิฉันอย่างอ่อนน้อมว่า

“เนื่องจากคุณแม่คุณทิพถวิลเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลมาเป็นเวลานานและเป็นลูกค้าที่ดีมาก (ไม่ทราบประชดหรือเปล่า) ทางโรงพยาบาลจึงจะทำการ up-grade (เลื่อนระดับชั้น) ห้องให้คุณแม่ คือเราจะให้เข้าพักในห้องพิเศษแต่จ่ายราคาเท่าห้องธรรมดา และเวลามาตรวจแบบคนไข้นอกก็สามารถใช้บริการห้องรับรองได้นอกจากนั้นยังจะมีเจ้าหน้าที่ส่วนตัวมาคอยดูแลให้โดยเฉพาะซึ่งเป็นบริการพิเศษสำหรับลูกค้า VIP เท่านั้นค่ะ”

เป็นไงคะ ผลของการเป็น ‘สุดยอดนักร้องเรียน’ นอกจากจะได้เงินคืนแล้วยังได้ late check out แบบโรงแรมแถมด้วยการ up-grade แบบผู้โดยสารเครื่องบินอีกด้วย! เริ่มรู้สึกอยากร้องเรียนบ้างแล้วใช่ไหมเอ่ย? 🤣

อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ

____________

***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด