โดย ทิพถวิล
(สินธุเสน) ชาตาคม

ก่อนจะถึงเรื่องที่ได้เงินจำนวนมากคืน
ดิฉันอยากบอกให้คุณผู้อ่านทราบว่า การที่เราไม่ต้องจ่ายเงินก็เท่ากับเราได้เงินเหมือนกันนะคะ
และหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า *ถ้าเราไม่พอใจการรักษาของโรงพยาบาล เราก็มีสิทธิ์ไม่จ่ายเงินเหมือนกัน*
แต่ต้องแน่ใจว่าเขาทำไม่ถูกจริงๆ ไม่ใช่แกล้งไม่พอใจเพื่อเบี้ยวค่ารักษานะคะ

ตัวอย่างแรกของเรื่องนี้ก็เกิดเหตุที่โรงพยาบาล ‘แพงพวย’ นั่นแหละค่ะ
คือวันนั้นดิฉันพาคุณแม่ไปรักษาผื่นตามร่างกายซึ่งปกติการตรวจโรคผิวหนังน่าจะต้องมีการพิจารณาลักษณะของผิวที่ผิดปกติ
ใช่ไหมคะ แต่ปรากฏว่าคุณหมอเธอได้แต่ซักถามอาการ และพอดิฉันเปิดแขนคุณแม่ให้ดูผื่น
เธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเลย เอาแต่จดบันทึกพร้อมกับพูดว่า

“คนสูงอายุก็แบบนี้แหละ... ผิวบอบบาง แพ้ง่าย
คงจะเป็นเพราะผิวแห้ง... ทาครีมบำรุงก็น่าจะหาย” สงสัยว่าเธอคงมีกุมารทองมากระซิบบอก เลยรู้ทุกอย่างโดยไม่ต้องตรวจ!

แล้วเธอก็คิดค่ารักษา 800 บาท
รวมค่าถือแฟ้มเข้า-ออกจากห้องของพยาบาล ที่เรียกแบบเก๋ๆ ว่า ‘ค่าบริการทางการพยาบาล’ 300 บาท และ
บริการต่างๆ เช่น เวรเปล หรือ ค่ากระดาษเช็ดก้น เอ้ย! กระดาษทิชชู่ เผื่อผู้ป่วยหรือญาติเข้าห้องน้ำ
ที่เรียกแบบเก๋ไม่แพ้กันว่า ‘ค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ’
อีก 300 บาท
บวกค่าครีมบำรุงแบบเข้มข้นซึ่งราคาแพงกว่าข้างนอก 3 เท่า เบ็ดเสร็จก็จะเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
ร่วมสองพันบาท! พอดิฉันเห็นรายการทั้งหมดเลยบอกกับห้องยาว่าไม่ขอรับยา
แล้วก็แวะไปพูดพยาบาลที่หน้าห้องหมอว่า

“ที่คุณหมอตรวจคุณแม่เมื่อกี้ดิฉันไม่จ่ายค่ารักษานะคะ
เพราะไม่ได้มีการตรวจอะไร”

ความจริงคันปากอยากบอกว่า ทุกทีเสีย 800 บาทยังได้สบตากับหมอบ้าง นี่หน้ายังแทบไม่ได้มอง
และถ้าแค่ฟังอาการแล้วจ่ายยาแบบนี้ หมอตี๋ที่ร้านขายยาแถวบ้านก็รักษาได้
ไม่ต้องหอบหิ้วคุณแม่มาให้ลำบากหรอก
แต่พอเห็นคุณพยาบาลเธอได้แต่ยิ้มรับแบบแหยๆ โดยไม่โต้เถียงอะไร
ดิฉันเลยพูดแค่นั้นแล้วเดินกลับบ้าน ...ก็ไม่เห็นมีใครมาดึงตัวให้ไปจ่ายเงินเลยค่ะ

อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นนานมาแล้วที่โรงพยาบาล ‘ว่านสี่ทิศ’ (ดิฉันขอใช้ชื่อดอกไม้ทั้งหมดแทนชื่อโรงพยาบาลในเรื่องนี้นะคะ)
ซึ่งคุณแม่ไปใช้บริการในช่วงปีแรกๆ ของการป่วย
ความที่ดิฉันอยู่กับคุณแม่มาตลอดจึงทำให้ทราบว่าเวลาคุณแม่เป็นไข้แบบนี้แสดงว่าเป็นอาการเริ่มต้นของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
หรือติดเชื้อที่ปอด ประมาณว่าถ้ารู้จักชื่อยาก็อาจทำตัวเป็นหมอเถื่อนรักษาคนไข้ได้
และคุณแม่ก็ได้เข้าออกโรงพยาบาลนี้ด้วยอาการเดิมๆ หลายครั้งมาแล้ว

แต่เผอิญว่าวันนั้นหมอที่เป็นเจ้าของไข้ไม่อยู่
มีแต่หมอเวร (ก็คงมีเวรจริงๆ ไม่งั้นคงไม่มาเจอกับดิฉันหรอก🤣) ซึ่งคงเพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน
พอดิฉันเล่าอาการให้ฟังพร้อมข้อสันนิษฐานว่า
คุณแม่คงเป็นเหมือนเดิม คุณหมอก็เลยไม่เชื่อ
แต่กลับคิดว่าคุณแม่อาการน่าเป็นห่วงจึงสั่งให้นำเข้าห้อง ICU

ถ้าเข้าฟรีหรือคิดราคาเท่าห้องธรรมดาก็ไม่ว่าหรอกค่ะ
แต่นี่ค่ารักษามันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว
ทั้งที่ผลการตรวจเลือดและปัสสาวะในภายหลังก็ยืนยันว่าดิฉันวินิจฉัยไม่ผิด ดังนั้น
เรื่องอะไรดิฉันจะต้องไปจ่ายเงินให้กับความบกพร่องในการใช้วิจารณญาณของหมอ
จริงไหมคะ
ถึงแม้หมอจะอ้างว่าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพื่อความปลอดภัยของคนไข้
แต่ถ้าเขาดูประวัติให้ละเอียดก็จะทราบว่าคนไข้มาด้วยอาการเดิม
ไม่ต้องเป็นกระต่ายตื่นตูมให้คนไข้ต้องเดือดร้อนขนาดนั้น

ต่อมาดิฉันจึงได้ทำหนังสือชี้แจงผู้อำนวยการ และจ่ายค่ารักษาไปครึ่งเดียวในราคาห้องปกติอย่างที่ควรจะเป็น
พร้อมทั้งบอกให้โรงพยาบาลตระหนักว่า ที่ผ่านมา ‘บริษัท สายการบินแห่งญาติ’
ผู้รับผิดชอบค่ารักษาของคุณแม่
สืบเนื่องจากอุบัติเหตุบนเครื่องบิน
ได้จ่ายให้โรงพยาบาลไปแล้วเกินสองล้านบาท จึงไม่ควรมาทวงเงินเพียงแค่นี้ให้ดิฉันเสียความรู้สึก
ในเมื่อสาเหตุเกิดจากความบกพร่องของบุคลากรโรงพยาบาลเอง...

หลังจากนั้น ทางโรงพยาบาลได้มีหนังสือเตือนมา 2 ฉบับให้ไปชำระเงินส่วนที่เหลือ
แต่ดิฉันก็เพิกเฉยด้วยความยึดมั่นในหลักการ ในที่สุดโรงพยาบาล ‘ว่านสี่ทิศ’
ก็เลิกราไปไม่เห็นตามมาตอแยอีกเลยค่ะ…

อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ

____________

***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’
เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ
มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด