โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม

เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความเพ้อฝันของดิฉันเอง หลังจากเหตุการณ์ในงานเลี้ยงคืนหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นบนเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่ดิฉันกำลังเต้นแบบเอาเป็นเอาตาย ตามนิสัยที่ได้ยินเสียงเพลงเป็นไม่ได้ เพื่อนซี้ได้ผลักดิฉันไปที่เสา ซึ่งคงจะเป็นส่วนหนึ่งของเสากระโดงเรือกลางเวที... เท่านั้นแหละ! องค์สาวโคโยตี้ก็ลงร่างดิฉันทันที

ดิฉันวาดลวดลายโหนเสาล้อเลียนลีลาของสาวโคโยตี้จนเรียกเสียงฮือฮาได้ไม่แพ้ของจริง เสียแต่ว่าเสามันใหญ่ไปหน่อย โหนไม่ถนัด ไม่งั้นอาจมีคนจ้างไปทำงาน พาร์ตไทม์แถวพัฒน์พงศ์ แต่คงต้องเป็นกะใกล้ตีสองตอนแขกเมาได้ที่จนเห็นผิดเป็นชอบ

เสียงชื่นชมในวันนั้น โดยเฉพาะจากแขกรับเชิญผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง และหนุ่มๆ บางคนที่ไม่เคยเห็นดิฉันอยู่ในสายตา ทำให้ดิฉันเกิดมีความคิดว่าจะฝึกการเต้นโหนเสา หรือ Pole Dancing อย่างจริงจัง เนื่องจากความจริงการโหนเสาไม่ได้เป็นเพียงการเต้นยั่วยวนอย่างที่เราเห็นสาวโคโยตี้ทำกันเท่านั้น แต่ถือเป็นกีฬาอย่างหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกับยิมนาสติกและมีการแข่งขันกันถึงระดับกีฬาโอลิมปิกเลยทีเดียว นอกจากนั้นการเต้นโหนเสาแบบมืออาชีพยังมีลีลาที่สวยงามเป็นศิลปะแบบระบำบัลเลต์และทำให้แข็งแรงและรูปร่างดีอีกด้วย

ประกอบกับตอนนั้นมีการประกาศรับสมัครผู้เข้าแข่งขันการประกวด Thailand’s Got Talent ซึ่งจะจัดขึ้นในอีกสามเดือนและผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลถึงสิบล้านบาท โดยกติกาการประกวดไม่มีอะไรมากเลย แถมไม่จำกัดอายุอีกด้วย...

มันทำให้ดิฉันเพ้อไปว่าตัวเองอาจได้เป็น Susan Boyle (แม่บ้านวัยกลางคนซึ่งร้องเพลงชนะใจคนดูทั้งโลกจากการแข่งขันดังกล่าวที่อเมริกา) คนต่อไป เนื่องจากวัยใกล้ๆ กันแต่รูปร่างดิฉันยังแข่งกับสาวๆ ได้ และถ้าดิฉันสามารถฝึกจนเก่งขนาดมืออาชีพก็อาจมีสิทธิ์คว้ารางวัล เพราะดิฉันมั่นใจว่าคงไม่มีหญิงวัยนี้ที่สามารถทำได้ หรือถ้ามีก็คงไม่มีใครคิดพิเรนทร์อาจหาญไปประกวดแบบดิฉันแน่

หลังจากที่คิดสะระตะอย่างถี่ถ้วน โดยไม่รับฟังคำประณามหยามเหยียดจากลูกและสามีแล้ว ดิฉันก็ไปติดต่อสถานออกกำลังกาย 'โคโลราโด' ซึ่งมีการสอนเต้นโหนเสาทันที ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นดีมาก ไม่ต่างจากคนขายประกันเท่าไร พร้อมกับให้กำลังใจว่ามีคนอายุประมาณดิฉันเต้นเหมือนกันและภายในเวลา 3 เดือน ดิฉันจะสามารถขึ้นเวทีได้แน่นอน

ดิฉันถามย้ำแล้วว่า “ไม่ใช่ขึ้นเมรุแน่นะน้อง?!”

...และในที่สุดดิฉันก็หลวมตัวสมัครคอร์สโหนเสาไปในราคาร่วมสี่พันบาท ซึ่งนับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับเงินสิบล้านที่จะได้ในอนาคตอันใกล้

อย่างไรก็ตาม วันแรกตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปในสตูดิโอ ดิฉันใจฝ่อไปหมด เพราะผู้ร่วมคอร์สมีแต่วัยรุ่นอายุใกล้เคียงกับลูกสาวทั้งนั้น แต่พอฝึกไปสักครู่ดิฉันก็เริ่มมีกำลังใจ เมื่อสมาชิกอีกคนมาถึงเพราะเธอดูท่าทางจะอายุมากกว่าดิฉัน แถมรูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากคนขายกุยช่ายแถวบ้าน ดิฉันแปลกใจมากจนอดถามไม่ได้ว่า ทำไมคุณแม่บ้านอย่างเธอถึงได้สนใจการเต้นแบบนี้ได้ เธอบอกว่า

“อ๋อ... ชอบค่ะ ชอบมากกก”  

”เออ... เจอพวกแล้วเรา”

ดิฉันคิดแล้วก็ต้องรีบหุบปาก ก่อนที่จะเผลอเล่าให้เธอฟังถึงเป้าหมายการเต้นของดิฉัน ไม่ได้สิคะ เดี๋ยวเกิดป้าแกไปสมัครด้วยดิฉันมีหวังพลาดตำแหน่งแน่ เพราะแกเต้นมาเป็นปีแล้วและลีลาแกไม่เบาเลยทีเดียว นี่ถ้าแกรูปร่างสวย สาวๆ ต้องอายแกเลยล่ะ

แต่ดิฉันเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะพอจบชั่วโมงแรกดิฉันก็สามารถโหนท่าพื้นฐานได้ จนครูและน้องๆ ทุกคนพากันปรบมือให้ มันทำให้ดิฉันฮึกเหิมถึงขนาดกลับมาบอกสามี ให้จัดการทำเสาไว้โหนในห้องนอนเพื่อที่ดิฉันจะได้ฝึกเพิ่มเติมทุกวัน (คิดได้ไงเนี่ย?!) สามีก็เกิดเฮี้ยนเคลิ้มตามความฝันของดิฉันและตกลงจะทำให้...

คืนนั้นดิฉันเริ่มมองเห็นภาพตัวเองบนเวทีประกวดในชุดรัดรูป ที่เป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงสปอตไลต์ ดิฉันค่อยๆ โรยตัวลงมาจากเพดาน... มือหนึ่งโหนเสา... ขาหนึ่งเกี่ยวเสาไว้...  ลำตัวแอ่นออกพร้อมกับแขนและขาอีกข้างที่เหยียดในท่าที่สวยงาม... ดิฉันหมุนตัวไปรอบเสาอย่างช้าๆ ด้วยลีลาอันอ่อนช้อยจนกระทั่งลงมาถึงโคนเสา... เสียงปรบมือดังสนั่น!

แต่โธ่เอ๋ย… ดิฉันฝันได้แค่คืนเดียว กรรมก็ขี่ไอพ่นตามมาในบัดดล เมื่อรุ่งเช้าดิฉันรู้สึกมองเห็นแสงแวบๆ ในตา ซึ่งหมอเคยบอกไว้ว่าเป็นสัญญาณอันตรายที่จะต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที...

และแล้วหลังจากการตรวจอย่างละเอียดหมอก็บอกว่า “วุ้นในลูกตาเสื่อม และการเคลื่อนไหวแรงๆ อาจกระชากทำให้จอประสาทตาฉีกขาดได้ ดังนั้น ควรงดการออกกำลังกายหนัก อย่างน้อย 3 เดือน!”

อย่าเพิ่งสมน้ำหน้าว่าเป็นเพราะดิฉันอุตริไปโหนเสามานะคะ เพราะหมอก็ยังบอกสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ และตอนสาวๆ ดิฉันก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ...แต่อะไรกันนี่? เทวดาฟ้าดินทำไมมาลงโทษกันตอนนี้? หรือใครเล่นของใส่กันแน่ ถึงได้ต้องงดตั้ง 3 เดือน? แบบนี้มันแผนสกัดดาวรุ่งกันชัดๆ

หลังจากที่นอนก่ายหน้าผากอยู่หนึ่งคืน ดิฉันก็ปลงตกว่า “เสียใจได้แต่อย่าเสียเงิน” แล้วดิฉันก็รีบลุกขึ้นโทรไปหาครูฝึกที่เป็นคนรับสมัครดิฉันเข้าคอร์สที่ 'โคโลราโด' เพื่อขอเงินส่วนที่เหลือคืน เนื่องจากดิฉันเพิ่งหัดไปได้แค่ครั้งเดียวและดิฉันก็มีใบรับรองแพทย์ยืนยันถึงเหตุผลความจำเป็นด้วย แต่คำตอบคือ

“ที่โคโลราโด ไม่มีนโยบายคืนเงิน เราช่วยได้เพียงยืดเวลาหรือไม่ก็โอนสิทธิ์ให้คนอื่นมาเล่นแทน”

ดิฉันพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยบอกขายคอร์สให้สมาชิกคนอื่น ซึ่งเขารับปากอย่างดี แต่แล้วก็หายเงียบไปไม่เคยโทรกลับ จนดิฉันคิดว่า “อย่าไปพึ่ง (แม่ง) ดีกว่า” และลองโทรไปที่แผนกร้องเรียนแทน แต่ก็ได้คำตอบเดิมด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“เราไม่มีนโยบายคืนเงินจริงๆ ค่ะ!”

ทว่า 'สุดยอดนักร้อง(เรียน)' มีนโยบายว่า ***ถ้าการร้องเรียนนั้นยังไม่ถึง หรือได้รับการปฏิเสธจากผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์กรก็แสดงว่าเรายังมีความหวังเสมอ*** ดิฉันจึงทำการหาข้อมูลจาก 'พ่อกู' อีกว่า ใครคือผู้มีอำนาจสูงสุดใน 'โคโลราโด' พอรู้แล้วว่า ประธานคือ มิสเตอร์เจมส์ บอนด์ ดิฉันก็โทรไปขออีเมลของเขาจาก Call Center จากนั้นก็เริ่มบรรยายความในภาคภาษาอังกฤษให้มิสเตอร์บอนด์ ทราบถึงเหตุผลที่ดิฉันต้องขอเงินส่วนที่เหลือคืน โดยแนบใบรับรองแพทย์ไปด้วย

ดิฉันไม่ลืมที่จะบอกว่า ***นี่ไม่ใช่ประเด็นเรื่องเงินอย่างเดียว แต่พนักงานของเขาไม่ให้เกียรติลูกค้าในการช่วยประสานงานใดๆ เลย ผิดกับตอนหาสมาชิก*** ที่โทรมาได้วันละสามเวลา นอกจากนั้น ยังโม้ไปด้วยว่าดิฉันได้แนะนำญาติและเพื่อนๆ ให้เป็นสมาชิกตลอดชีพไปหลายคน แล้วดิฉันก็ใส่ชื่อคนเหล่านั้น ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ไปเสียยาวเหยียด ซึ่งนอกจากจะเป็นการให้เครดิตตัวเองแล้ว ยังเป็นเหตุผลเสริมว่า ดิฉันไม่รู้จะโอนสิทธิ์ให้ใครเพราะทุกคนก็เป็นสมาชิกหมดแล้ว

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น มิสเตอร์บอนด์ตอบมาว่า “ไม่มีปัญหา เนื่องจากคุณมีใบรับรองแพทย์ แล้วเราจะให้คนติดต่อไปเพื่อทำเรื่องคืนเงินให้เร็วที่สุด”

โอ… ขอบคุณพระเจ้า! ไม่น่าเชื่อว่าจะง่ายดายอะไรอย่างนี้ และต้องขอขอบพระคุณคุณครูฉลบชลัยย์ พลางกูร และอาจารย์ภาษาอังกฤษทุกท่าน ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาภาษาอังกฤษให้ดิฉัน ซึ่งนอกจากจะได้ใช้ทำมาหากินจนมีความเจริญก้าวหน้าแล้ว ยังทำให้ดิฉันสามารถต่อสู้เพื่อความยุติธรรมกับชาวต่างชาติได้ด้วย (ยังมีวีรกรรมที่ดิฉันรบชนะชาวต่างชาติอีก)

แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันก็ได้รับเงินที่เหลือคืนอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว สมกับที่ได้ติดต่อท่านประธานโดยตรง ซึ่งผิดจากเสียงร่ำลือที่ว่า “ไม่เคยมีใครได้เงินคืนจากโคโลราโด” ครั้งนี้จึงเป็นวีรกรรมที่สร้างความภาคภูมิใจให้ดิฉันอย่างยิ่ง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า สังขารไม่ให้ แต่ใจถึง ก็ต้องเจอแบบนี้แหละ! เอ้ย! ไม่ช่าย! สอนให้รู้ว่า “Don’t let the first or even tenth refusal upset you, just look around and you will find an alternative solution อย่าท้อแท้กับคำปฏิเสธเพียงหนึ่งหรือแม้แต่สิบครั้ง ลองหาดูให้ดี แล้วคุณจะพบว่ามีทางออกอื่นเสมอ” คติพจน์ของดิฉันเองแหละค่า

 __________

***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด