โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม

ที่ตั้งชื่อว่า 'งานช้าง' เพราะคราวนี้ดิฉันต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก กว่าจะได้เงินตามที่เรียกร้อง ซึ่งไม่ใช่จำนวน หมื่น หรือแสน แต่เป็นล้าน! และหลายล้านด้วย!! แต่ต่อให้เป็นแสนล้านก็คงแลกไม่ได้กับความสูญเสียที่ดิฉันได้รับในครั้งนี้ เมื่อคุณแม่ของดิฉันต้องกลายเป็นอัมพาตทั้งตัวไปในชั่วพริบตา

วันนั้น คุณแม่กำลังเดินทางไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่คุณแม่ฝันจะไปอีกเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับน้องและหลานอีกสองคน เครื่องบินของ 'สายการบินแห่งญาติ' (เพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่ลูกท่านหลานเธอ) เพิ่งขึ้นไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พนักงานต้อนรับกำลังเตรียมจะให้บริการเครื่องดื่ม และคุณแม่ก็ถอดเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ แต่แล้วกรรมแต่ชาติปางไหนไม่รู้ก็ ขี่จรวดรุ่นใหม่ล่าสุดตามมาทันพอดี ทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

คุณแม่ถูกแรงเขย่าอย่างรุนแรง จนตัวลอยขึ้นไปถึงเพดานเครื่องบินและตกลงมาฟาดกับเก้าอี้จนแน่นิ่งไป ผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับอีกหลายคนก็บาดเจ็บ แต่ไม่มีใครโชคร้ายเท่าคุณแม่ดิฉัน เครื่องจึงต้องบินกลับทันที...

คุณแม่ถูกนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และรักษาต่อเนื่องอยู่ที่นั่นถึง 8 เดือน สายการบินฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท โดยแจ้งว่าบริษัทประกันภัยจะจ่ายเงินชดเชยให้ 1 ล้านบาท และ สายการบินฯ จ่ายให้อีก 1 ล้านบาท

ทั้งที่ขณะนั้นแพทย์ให้การวินิจฉัยแน่นอนแล้วว่า คุณแม่จะต้องกลายเป็นคนพิการทั้งตัวที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แม้แต่จะปัดยุงที่มาตอม... ต้องขับถ่ายบนเตียง ใช้ชีวิตอยู่แต่ในรถเข็น และที่ร้ายที่สุดคือจะต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดจากอาการเกร็งไปตลอดชีวิต โดยที่ก่อนหน้านี้ คุณแม่แข็งแรงมาก ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย และยังขับรถไปรับส่งหลานที่โรงเรียนได้ด้วยซ้ำ

สรุปว่า 'สายการบินแห่งญาติ' จะให้ดิฉันใช้เงิน 2 ล้านในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าจะมีชีวิตไปอีกนานแค่ไหน เพราะขณะที่เกิดเหตุคุณแม่มีอายุเพียง 69 ปี เท่านั้น... ก็คงพอได้มั้ง ถ้าดิฉันออกจากงานมาอาบน้ำป้อนข้าวคุณแม่เอง หรือให้ท่านทนร้อนโดยไม่ต้องเปิดแอร์นอน ใส่ผ้าเตี่ยวแทนผ้าอ้อมแบบใช้แล้วทิ้ง และเวลามีอาการแทรกซ้อนก็ไปรอคิวที่โรงพยาบาลรัฐบาลตั้งแต่ตีสี่!

แต่ลูกกตัญญูอย่างดิฉันทำอย่างนั้นไม่ลงหรอกค่ะ และคิดว่าผู้บริหารสายการบินฯ ก็คงไม่ทำกับคุณแม่ของท่านเหมือนกัน ถ้าพวกท่านอยากทราบว่าดิฉันดูแลคุณแม่อย่างไรก็ลองไปหาเรื่อง 'มหัศจรรย์แห่งความกตัญญู' ของดิฉันมาอ่านดูนะคะ จะได้เข้าใจ

นอกจากนั้นในความเป็นจริง ค่าใช้จ่ายรายเดือน ทั้งค่าคนดูแล (ที่ต้องใช้สองคน เพราะคุณแม่ตัวหนัก ไม่สามารถยกเพียงคนเดียวได้) ค่ายา ผ้าอ้อม ฯลฯ เป็นเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่ารักษาเวลาต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคอื่นเป็นระยะๆ อันสืบเนื่องมาจากความอ่อนแอของร่างกาย ซึ่งแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าครึ่งแสน และค่าอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ อีก เช่น เครื่องออกซิเจน เครื่องช่วยหายใจ เครื่องดูดเสมหะ ฯลฯ

ถึงแม้สายการบินฯ จะอ้างว่ามันเป็นหลุมอากาศที่มองไม่เห็นและไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ แต่ดิฉันก็คิดว่าน่าจะรับผิดชอบมากกว่านี้ โดยเฉพาะ 'กัปตันมังคุด'  ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะโทรมาแสดงความเสียใจ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่อาจยอมรับในตัวเลขที่เสนอมานั้นได้ นอกเหนือจากสิ่งที่ดิฉันเดาว่าจะต้องตามมาไม่ช้า นั่นคือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนในครอบครัวตลอดไป

และก็จริงดังคาด เพราะไม่นานคุณพ่อดิฉันก็ล้มป่วยด้วยอาการของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นผลจากการที่ท่านต้องเห็นสภาพที่ทุกข์ทรมานของคุณแม่ รวมถึงต้องตรากตรำติดตามคุณแม่ไปรักษายังที่ต่างๆ เพราะลูกๆ ต้องทำงานกันทุกคน (จนกระทั่งเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าว ในเวลาต่อมา)

ดิฉันจึงได้ติดต่อทนายความที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่โชคดีที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก เพราะเขาเป็นลูกของเพื่อนคุณพ่อ เพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากสายการบินฯ เพิ่มเติม ดิฉันได้รวบรวมเอกสารที่จะต้องใช้ทั้งหมดให้เขา นับตั้งแต่ *รายการค่าใช้จ่ายในปัจจุบันและที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต รายได้และผลประโยชน์ต่างๆ ที่คุณแม่จะต้องได้รับ* หากท่านไม่กลายเป็นผู้พิการ ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในวัยเกษียณ แต่ท่านก็ยังมีอาชีพอื่นที่สร้างรายได้ให้ทุกเดือน เดือนละเท่าไร คูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะยังทำงานได้

*ที่สำคัญที่สุดคือ การสูญเสียความสุขที่ท่านพึงจะได้รับจากการใช้ชีวิตแบบคนปกติ เช่น การเดินทางท่องเที่ยว การได้ดูแลลูกหลาน ฯลฯ ซึ่งไม่อาจประเมินเป็นตัวเลขได้ นอกจากนั้นยังมีผลกระทบกับบุคคลในครอบครัวทุกคน โดยเฉพาะการสูญเสียโอกาสในความเจริญก้าวหน้าทางการงานของดิฉัน* เพราะบ่อยครั้งที่ต้องใช้เวลางานไปคอยดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด เนื่องจากขณะนั้น น้องคนหนึ่งอยู่ต่างจังหวัดและอีกคนอยู่ต่างประเทศ ฯลฯ ซึ่ง *มีผลทำให้ดิฉันไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอันจะก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน ก็เท่ากับเป็นจำนวนเงินที่ดิฉันต้องสูญเสียไปเช่นกัน*

หลังจากสายการบินฯ รับเรื่องของดิฉันไม่นาน ก็ส่งท้าวมาลีวราชมาเจรจาต่อรองตัวเลขอยู่หลายยก จนในที่สุดคุณพ่อและดิฉันก็ตกลงที่จำนวนซึ่งพอจะรับได้ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีเรื่องราวยืดเยื้ออีกต่อไป จะได้เอาเวลาไปใส่ใจกับการดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด

ดิฉันคิดว่า*ความสำเร็จในการเรียกร้องค่าเสียหายของดิฉันในครั้งนี้ ส่วนใหญ่คงเป็นเพราะตัวเลขค่าใช้จ่ายและความสูญเสียซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงทั้งหมด แต่ถ้าใครจะทำตามต้องคิดอย่างรอบคอบให้ครอบคลุม 360 องศา อย่าให้อะไรเล็ดรอดไปได้แม้แต่อย่างเดียว*

นอกจากนั้น ยังอาจเป็นเพราะดิฉันได้บรรยายความเดือดร้อนให้สายการบินฯ ได้รับทราบด้วยความจริงใจ จนผู้บริหารเกิดนึกถึงความเป็นญาติขึ้นมา ซึ่งดิฉันคงต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ อย่างไรก็ตาม ความจริงญาติกันน่าจะให้มากกว่านั้นอีกหน่อย เพราะคุณแม่มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกถึงยี่สิบปีในสภาพเดิม เงินของท่านจะไปเหลืออาร้าย!

__________

**เรื่องนี้แพรวสำนักพิมพ์ได้ตีพิมพ์โดยใช้ชื่อว่า "ร้องเรียนเป็นรวยได้" เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด