โดย ทิพถวิล (สินธุเสน) ชาตาคม

คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยซื้อสินค้าที่คาดว่าจะดีแต่แล้วก็พบว่าไม่ดี ทำให้ต้องซื้อของใหม่และเสียเงินไปกับของเก่าอย่างน่าเสียดาย เพราะขี้เกียจเสียเวลาไปเปลี่ยนบ้าง กลัวเขาไม่ให้เปลี่ยนบ้าง หรือไม่มีเอกสารที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนสินค้า เช่น ใบเสร็จ ใบรับประกัน หรืออาจจะแกะกล่องทิ้งไปแล้ว ทำให้สินค้าไม่อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมเลยคิดว่าเขาคงไม่ให้เปลี่ยนแน่

แต่ทำไม่ไม่ลองล่ะคะ ถ้าของนั้นมันไม่ดีจริง จนเราทนเห็นหน้ามันอีกต่อไปไม่ได้แล้ว... คุณผู้อ่านอาจโชคดีเหมือนดิฉันก็ได้

ตอนที่ซื้อไอ้เจ้าโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายยี่ห้อ 'แฟรี่ เทล' มา ดิฉันไม่นึกเลยมันจะมีนิสัยเหมือนชื่อคือเป็นเทพนิยาย จึงใช้ได้ในความฝัน แต่ในความเป็นจริงพอหยิบมาที่ไรเป็นต้องมีปัญหา เดี๋ยวกดไม่ติด เดี๋ยวสัญญาณเสีย เดี๋ยวเสียงขาดๆ หายๆ เดือนแรกดิฉันก็ทนกล้ำกลืนคิดว่าตัวเองคง 'โลเทค' ใช้ของดีไม่เป็น (เพราะสนนราคามันก็ไม่ใช่ถูก แถมมีลูกแถมอีกตั้ง 2 เครื่อง)

เดือนที่สองเผอิญไปต่างประเทศหลายวัน ไอ้ 'แฟรี่ เทล' ก็เลยรอดไป และดิฉันก็คิดเอาเองว่ามันคงหายป่วยแล้ว จนเอามาใช้ในเดือนที่สามถึงได้รู้ว่ามันยังมีอาการเดิมอยู่ แต่ยังทนได้... จนกระทั่งย่างเข้าเดือนที่สี่นั่นแหละ จึงได้เรื่อง!

เมื่อมือถือเกิดเสียและดิฉันมีเรื่องด่วนต้องใช้โทรศัพท์บ้าน แต่พอหยิบมันขึ้นมาก็กดแป้นไม่ลงซะงั้น ดิฉันแทบเขวี้ยงมันทิ้ง แต่ต้องอดใจไว้เพราะถ้ามีรอยแตกหรือชำรุดคงคืนไม่ได้แน่ พอหมดเรื่องยุ่ง ดิฉันจึงโทรไปที่ร้าน 'Papa Buy' และเล่าให้พนักงานขายฟังถึงพฤติกรรมของโทรศัพท์ยี่ห้อดังกล่าว โดยยังไม่ได้คิดว่าจะขอคืนเนื่องจากซื้อมาตั้งสี่เดือนแล้ว นอกจากนั้นยังไม่มีใบเสร็จ ไม่มีกล่อง อะไรทั้งสิ้น แต่พอได้ฟังพนักงานพูด ดิฉันก็ต้องเปลี่ยนใจ

“อ๋อ ยี่ห้อแฟรี่ เทล ก็หยั่งงี้แหละพี่ ลูกค้าโทรมาบ่นทุกวัน” พนักงานพูดแบบขำๆ

ดิฉันดึงสายโทรศัพท์ออกทันที โยนมันใส่ถุง หิ้วไปที่ร้าน 'Papa Buy' และบอกกับหัวหน้าพนักงานขายว่า “โทรศัพท์ยี่ห้อนี้มันใช้ไม่ได้ แม้แต่พนักงานของคุณเองยังยอมรับว่าลูกค้าโทรมาบ่นทุกวัน แล้วคุณยังเอาสินค้าไม่มีคุณภาพแบบนี้มาวางขายได้ยังไง นอกจากจะทำให้ลูกค้าต้องเดือดร้อนแล้วยังเสียชื่อเสียงร้านคุณด้วยนะ”

“คุณพี่ซื้อไปเมื่อไรครับ” ดิฉันตอบอย่างไม่ครั่นคร้ามว่า

“สี่เดือนแล้วจ้ะ แต่มันเสียมาตลอด ตั้งแต่วันแรก...ไม่ใช่ว่าใช้จนเสียนะ”

“เอ่อ... แล้วคุณพี่มีใบเสร็จไหมครับ” หัวหน้าพนักงานเริ่มใจอ่อน

“ไม่มีจ้ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ทิ้งไปหมดแล้ว เพราะไม่คิดว่าของมันจะใช้ไม่ได้จนต้องเอามาคืน แต่คุณไม่ต้องคืนเงินหรอกนะ ขอเปลี่ยนเป็นยี่ห้อใหม่ที่ดีแน่นอนน่ะ มีมั้ย”

หัวหน้าพนักงานรีบตอบตกลง คงเพราะกลัวดิฉันจะเอาโทรศัพท์ไปทุบทิ้งหน้าห้าง แล้วเรียกหนังสือพิมพ์มาถ่ายรูป แบบข่าวดังในช่วงนั้น ที่ผู้หญิงคนหนึ่งซื้อรถมาแล้วมีปัญหา ก็เลยเอารถไปทุบหน้าบริษัทที่ขายซะเลย... นับเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีจริงๆ

ในที่สุดดิฉันจึงได้โทรศัพท์ยี่ห้อใหม่ด้วยการเพิ่มเงินอีกไม่มากนัก และไม่มีปัญหาในการทำเอกสารแต่อย่างใด

เห็นไหมคะว่า ถ้าเขาจะทำให้จริงๆ มันก็ทำได้ทั้งนั้น และสำหรับเราก็เช่นกัน *ถ้าเราต้องการจะคืนหรือเปลี่ยนสินค้าก็ย่อมทำได้โดยไม่มีข้อแม้ ถ้าสินค้านั้นไม่มีคุณภาพจริงๆ ตั้งแต่แรก ไม่ใช่ว่าเราเอามาใช้จนเสีย*

เหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันมักพูดกับคนที่มักยอมแพ้อะไรง่ายๆ เสมอว่า “ทำไมไม่ลองพยายามดูก่อนล่ะ อะไรๆ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น” (ถ้าของที่ใช้มาแล้วถึงสี่เดือนยังคืนได้ อะไรๆ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละเจ้าค่า) เหมือนที่มีคนพูดไว้ว่า…

“You never lose until you give up” หรือ “เราไม่มีวันสูญเสียตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้"

__________

***เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือโดยแพรวสำนักพิมพ์ ใช้ชื่อว่า ‘ร้องเรียนเป็นรวยได้’ เพื่อดึงดูดใจผู้ซื้อ มิใช่เพื่อประโยชน์ในการหาเงินจากการร้องเรียนแต่อย่างใด