เชื่อว่าที่บ้านของพี่ๆ หลายคนจะต้องมีตู้ยา หรือมุมยาสามัญประจำบ้านกันทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่า สุขภาพร่างกายของเราจะเจ็บป่วยขึ้นมาวันไหน จะปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบาย หรือเผชิญแมลงสัตว์ กัดต่อย เมื่อไร
 
การมียาสามัญประจำบ้านติดไว้ คงจะช่วยให้อุ่นใจไม่น้อย แต่เอ๊ะ! พี่ๆ ได้เช็คดูบ้างหรือเปล่าว่า ยาที่อยู่ในตู้ของเรา เก็บไว้นานแค่ไหนแล้ว เพราะยิ่งนาน ยาจะยิ่งเสื่อมสภาพ และอาจถึงวันหมดอายุได้
 
ยังแฮปปี้จะพาพี่ๆ ไปเปิดตู้ยา สำรวจกันหน่อยว่า ถึงเวลาโบกมือลายาตัวไหนบ้าง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหมดอายุ อันตรายอย่างไร&nbsp;
ถึงจะเป็นยารักษาโรค แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ หากหมดอายุ แม้ยาจะมีกระบวนการผลิตที่ดี แต่คุณภาพของยาไม่ได้คงอยู่ตลอด เพราะยาแต่ละชนิด มีสารคงตัวแตกต่างกัน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร คุณภาพของยาก็จะยิ่งลดลงตามลำดับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องระบุวันหมดอายุ
 
ซึ่งวันหมดอายุของยาแต่ละชนิดนั้น พี่ๆ สามารถสังเกตได้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ของยา โดยมักจะระบุเป็นภาษาไทยว่า ยาสิ้นอายุ และตามด้วยวันที่ หรือภาษาอังกฤษ ว่า  Exp. หรือ Exp. Date เช่น ยาสิ้นอายุ 2/9/2571 หรือ  Exp. 2/9/2028   แปลว่า ยาชนิดนี้จะหมดอายุในวันที่&nbsp;
2 เดือนกันยายน ปี พ.ศ 2571
 
ยาที่หมดอายุบางชนิดจะเปลี่ยนสภาพจาก ยารักษาโรค กลายเป็นยาพิษและส่งผลร้ายต่อ
ผู้ใช้ได้ เพราะฉะนั้นการใช้ยาที่หมดอายุ นอกจากจะเจอยาที่เสื่อมคุณภาพ ไม่มีผลต่อการรักษาแล้ว ยังมีอันตรายต่อชีวิตด้วย
 
ยาที่เปิดใช้แล้ว มีอายุเท่าไร
ยาบางชนิดอาจไม่ได้บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ หรือถ้าซื้อจากร้านขายยา เภสัชกรก็จะแบ่งขายให้ แบบนี้จะรู้ได้อย่างไรว่ายาหมดอายุแล้ว แค่ลองสังเกตง่ายๆ ดังนี้&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาเม็ดทั่วไป เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ไม่ว่าจะเป็นเม็ดรูปทรงกลม ทรงรี หรือทรงไหนก็ตาม หากไม่ได้ระบุวันหมดอายุ จะเก็บได้ไม่เกิน 1 ปี และถ้าสังเกตแล้วพบว่าเม็ดยามีลักษณะเยิ้ม แตก ชื้น บิ่นหรือว่าเปลี่ยนสี ทิ้งได้เลยไม่ต้องรอจนครบ 1 ปี&nbsp;
 
ยาเม็ดชนิดแคปซูล มีอายุการเก็บรักษาไม่เกิน 1 ปี เช่นเดียวกับยาเม็ด แต่ถ้าเม็ดยาแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีแคปซูลเปลี่ยนไป ก็แปลว่าถึงเวลาต้องทิ้ง&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาน้ำที่มีตะกอนเล็กน้อย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาน้ำแผนโบราณ ยาน้ำสตรี ยาธาตุ ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากเปิดใช้ และต้องสังเกตว่ามี สี กลิ่น รสเปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อเขย่าขวดแรงๆ ยาจะต้องกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน หากไม่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือตะกอนเกาะกันแน่นก็แปลว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
&nbsp;
 
ยาน้ำที่เป็นน้ำใส เช่น ยาน้ำขับลมเด็ก หรือยาน้ำเชื่อม หากพบว่ามีตะกอนหรือขุ่น เหมือนมีเยื่อเบาๆ ลอยอยู่ หรือกลิ่น สี รส เปลี่ยนไป แสดงว่ายาเสื่อมสภาพหรือเสียแล้วให้ทิ้งทันที และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน
 
ยาชนิดผงละลายน้ำ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เมื่อเสื่อมคุณภาพ ผงยาจะจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ไม่สามารถละลายน้ำได้ หรือบนภาชนะที่บรรจุจะมีไอน้ำ หรือหยดน้ำเกาะ ยาประเภทนี้
เมื่อผสมน้ำแล้ว มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก คือ ไม่เกิน 7 วันในอุณหภูมิห้อง และ 14 วันหากแช่ตู้เย็น&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหยอดตา ยาป้ายตา หลังเปิดใช้จะมีอายุเพียง 1 เดือนเท่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าเก็บไว้เกินหนึ่งเดือน นำไปทิ้งได้เลย แต่ อย่าลืมดูด้วยว่า มีสารกันเสียผสมอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่มีสารกันเสียผสมอยู่ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 วัน ! 
&nbsp;
ขี้ผึ้ง หรือยาชนิดครีม ยายอดฮิตติดบ้าน ไม่ว่าจะเป็นยาหม่อง บาล์ม ขี้ผึ้งแก้พิษแมลง หรือยานวดชนิดต่างๆ ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน หรือถ้าตัวยาเริ่มแยกชั้น มีสี เนื้อสัมผัส ความหนืด เปลี่ยนไป หรือมีของเหลวไหลออกมาเยิ้มที่ผิวหน้าของยา และมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เป็นสัญญาณว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
 
ยาชนิดเจลใส นอกจากไม่ควรเก็บไว้เกิน 6 เดือนแล้ว หากพบว่าเนื้อเจลที่เคยใส กลายเป็นเนื้อขุ่น และเนื้อยาไม่เกาะเป็นเนื้อเดียวกันแปลว่ายาเสื่อมคุณภาพ ในกรณีเจลแอลกฮอล์
ที่ทุกบ้านต้องมี เก็บไว้ได้นานถึง 3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ แต่ถ้าเปิดใช้แล้ว ควรรีบใช้ภายใน&nbsp;
3 เดือน
 
 
อันที่จริง ไม่ใช่แค่วันหมดอายุเท่านั้นที่มีผลต่ออายุการใช้งาน การจัดเก็บยาก็มีผลเช่นกัน&nbsp;
โดยเฉพาะยาที่ไวต่อ แสง อุณหภูมิ ความชื้น หากเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ยาจะเสื่อมสภาพหรือมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ก่อนวันหมดอายุ เพราะฉะนั้นก่อนใช้ยาอะไรก็ตาม สละเวลาสำรวจวันหมดอายุและสังเกตลักษณะของยาสักนิด ตัดใจทิ้ง ไม่ต้องเสียดาย หากพบว่ายาเสื่อมคุณภาพ “เก่าไม่เก็บ” เพื่อความปลอดภัยของทุกคน&nbsp;
 
 
อ้างอิง
<a href="https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402" target="_blank">https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402</a>&nbsp;
<a href="http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31" target="_self">http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31</a>&nbsp;

ยาสามัญคู่บ้าน เก็บได้นานแค่ไหนกันนะ

จากเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาพี่ๆ วัยเก๋าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับกระแสของการกินอาหารแบบเน้นพืช หรือ Plant-baseddiet เพื่อลดการกินเนื้อสัตว์ที่สามารถช่วยดูแลโลกของเราไปพร้อมกับการดูแลสุขภาพ 

<div style="text-align:left;"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-nestle-vegetable_aw%20copy%207.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/></div>

การกินอาหารแบบเน้นพืช จะประกอบไปด้วยการกินผัก ผลไม้ เห็ดรวมไปถึงถั่ว ธัญพืช และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากถั่วและธัญพืชต่างๆโดยเน้นอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก ร่วมกับลดการบริโภคเนื้อสัตว์โดยการกินอาหารรูปแบบนี้ทำให้ร่างกายของผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้นเช่น ใยอาหาร วิตามิน เกลือแร่ และได้รับไขมันที่ต่ำ และไม่มโคเลสเตอรอลอีกด้วยมีการศึกษาถึงประโยชน์ของการกินอาหารแบบเน้นพืชที่ยืนยันว่าช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมีส่วนช่วยในการควบคุมและลดน้ำหนักอีกด้วย 

แม้พืชจะให้สารอาหารที่สามารถบริโภคทดแทนเนื้อสัตว์ได้ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนและวิตามินแร่ธาตุต่างๆ แต่พี่ๆ รู้ไหมว่าพืชอาจจะมีกรดอะมิโนจำกัด และมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ครบถ้วนน้อยกว่าเนื้อสัตว์ดังนั้นการเลือกทานแหล่งโปรตีนจากพืชเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการเลือกชนิดของพืชและธัญพืชเน้นให้มีความหลากหลายเพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารและกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ อย่างครบถ้วนและเพียงพอ

ยังแฮปปี้ และ เนสท์เล่ สนับสนุนให้คนไทยแข็งแรงและอยากให้วัยเก๋าทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ จึงอยากแนะนำแหล่งอาหารหรือเครื่องดื่มจากพืชที่มีโปรตีน มีกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิดหรือเลือกที่มีใยอาหารสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพส่วนจะมีพืชชนิดไหนบ้าง ลองไปติดตามกันได้เลย

<div style="text-align:left;"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-nestle-vegetable_aw%20copy%208.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/></div>

ถั่วเหลือง
เป็นแหล่งของโปรตีนจากพืชที่ได้รับความนิยมและจัดเป็นแหล่งโปรตีนสมบูรณ์ที่ให้กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิดครบถ้วน โดยถั่วเหลือง 100 กรัมจะให้โปรตีนแก่ร่างกาย 16 กรัม นอกจากประโยชน์ในด้านสารอาหารแล้วยังมีการศึกษาถึงประโยชน์ต่อสุขภาพพบว่าการบริโภคโปรตีนถั่วเหลืองมีส่วนช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ [1]

<div style="text-align:left;"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-nestle-vegetable_aw%20copy%209.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/></div>

ข้าวไม่ขัดสี
อาหารพื้นฐานที่คนไทยบริโภคกันเป็นประจำนอกจากจะให้พลังงานกับร่างกายแล้ว ข้าวยังให้โปรตีนอีกที่ดีด้วย โดยข้าวจะมีโปรตีนประมาณ 7-12% แล้วแต่พันธุ์ข้าว ควรเลือกเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีเพราะยังมีส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดอยู่ ซึ่งในส่วนนี้จะอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆวิตามิน ใยอาหารและโปรตีนที่มีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักตัวและระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย [2]

<div style="text-align:left;"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-nestle-vegetable_aw%20copy%2010.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/></div>

ข้าวโอ๊ต
ถือว่าเป็นธัญพืชที่มีใยอาหารที่สูง โดยจากการศึกษาพบว่าการบริโภคข้าวโอ๊ตที่อุดมไปด้วยใยอาหารที่มีชื่อว่า เบตา-กลูแคน (beta-glucan) สามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดโดยรวมและไขมันไม่ดีอย่างโคเลสเตอรอลชนิด แอลดีแอล (LDL-Cholesterol) [3] อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

<div style="text-align:left;"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-nestle-vegetable_aw%20copy%2011.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/></div>

จากตัวอย่างของพืชทั้ง 3 ชนิดที่แนะนำข้างต้น พี่ๆสามารถเลือกบริโภคทั้งจากมื้ออาหารหลักหรือเลือกจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มาจากพืชได้อีกด้วยเพราะจะให้ความสะดวก รสชาติอร่อยและ ได้ประโยชน์ครบถ้วนแต่ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลน้อย หรือมีสูตรที่มีการลดน้ำตาลลง หรือดูง่ายๆได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพบนฉลาก และที่สำคัญต้องไม่ลืมกินอาหารให้หลากหลายครบถ้วนตามหลัก 5 หมู่ ดื่มน้ำให้เพียงพอ 8 แก้วหรือ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์และบริหารจัดการอารมณ์ให้ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว

ชวนไปรู้จักผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและดีต่อสุขภาพ คลิกเลย 
ไมโล นมถั่วเหลือง 
<a href="https://www.milo.co.th/our-products/milo-soy-uht?utm_source=ip-google&utm_medium=cpc&utm_campaign=brand&utm_content=" target="_self">https://www.milo.co.th/our-products/milo-soy-uht?utm_source=ip-google&amp;utm_medium=cpc&amp;utm_campaign=brand&amp;utm_content=</a> 

เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์
<a href="http://www.nesvita.co.th/" target="_self">http://www.nesvita.co.th/</a>


อ้างอิง 
[1] Anderson,J. W., Johnstone, B. M., &amp; Cook-Newell, M. E. (1995). Meta-analysis of the effects of soy protein intake on serum lipids. The New England journal of medicine, 333(5), 276–282. <a href="https://doi.org/10.1056/NEJM199508033330502" target="_self">https://doi.org/10.1056/NEJM199508033330502</a> 

[2] Chambers, L., McCrickerd, K., &amp; Yeomans, M. R. (2015). Optimising foods for satiety. Trends in Food Science &amp; Technology, 41(2), 149-160. https://doi.org/https://doi.org/10.1016/j.tifs.2014.10.007 

[3] Whitehead, A., Beck, E. J., Tosh, S., &amp; Wolever, T. M. (2014). Cholesterol-lowering effects of oat β-glucan: a meta-analysis of randomized controlled trials. The American journal of clinical nutrition, 100(6), 1413–1421. <a href="about:blank" target="_self">https://doi.org/10.3945/ajcn.114.086108</a>

กินอาหารเน้นพืช เลือกกินอะไรให้สุขภาพดี และได้รับสารอาหารเพียงพอ

รู้ทัน STROKE โรคหลอดเลือดสมอง
สาเหตุของการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในผู้สูงอายุ

ไม่ต้องกังวลเรื่องการขับถ่ายของผู้สูงอายุที่ติดเตียง ไม่ว่าจะตอนตื่นหรือนอน ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ & ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’

ปัญหาเรื่องการขับถ่าย คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้พี่ๆ ผู้สูงวัยติดเตียง ต้องลำบากในการใช้ชีวิตอย่างมาก เพราะปัญหาเรื่องการขับถ่าย เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการเสื่อมถอยของเซลล์ต่างๆ กล้ามเนื้อหูรูดและระบบขับถ่ายเสื่อมลง รวมถึงโรคประจำตัวอื่นๆ ทำให้การขับถ่ายผิดปกติ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือเกิดภาวะอุจจาระเล็ด



แน่นอนว่าผู้สูงอายุที่ติดเตียงไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ซึ่งถ้าหากดูแลสุขอนามัยไม่ดี อาจทำให้เกิดแผลกดทับ รู้สึกไม่สบายตัว และส่งผลกระทบด้านอารมณ์และด้านจิตใจก็เป็นได้



ยังแฮปปี้เลยมีเคล็ดลับดีๆ ให้กับผู้ดูแลหรือลูกหลาน ไม่ต้องกังวลเรื่องการขับถ่ายของผู้สูงอายุที่ติดเตียง และใช้ชีวิตได้แบบแฮปปี้ ไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือนอนหลับในตอนกลางคืน ด้วยผู้ช่วยสำคัญอย่าง ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/12/MicrosoftTeams-image-102.png" alt="" class="wp-image-55828"/></figure>



ทำไมต้องเป็นแผ่นเสริมซึมซับเซอร์เทนตี้? 400cc ดีกว่ายังไง?



ก่อนอื่นมารู้จักกับคุณสมบัติของผู้ช่วยอย่าง 'เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc' กันก่อน ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือ เม็ดเจลซึมซับโพลีบีดส์ ที่สามารถดูดซับของเหลวมากถึง 400cc ป้องกันการรั่วซึม ได้ยาวนานตลอดวันถึง 6 ชั่วโมง มีผิวสัมผัสที่นุ่ม ระบายอากาศได้ดี ลดการเกิดแบคทีเรีย แถมยังผ่านการทดสอบการระคายเคือง สวมใส่สบายแน่นอน และยังออกแบบให้มีขอบตั้งด้านใน 2 ชั้น เมื่อใช้คู่กับผ้าอ้อม 'เซอร์เทนตี้เทป' ก็ยิ่งมั่นใจ เพราะมีแถบตีนตุ๊กแก ติดแน่น ไม่รั่วซึมแน่นอน ที่สำคัญ ยังแฮปปี้แนะนำคนที่ใช้ ‘เซอร์เทนตี้เทป’ ควรใช้แผ่นเสริมซึมซับของยี่ห้อเดียวกัน จะเกิดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เนื่องจากเขาถูกออกแบบมาให้ใช้คู่กัน



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/12/MicrosoftTeams-image-103.png" alt="" class="wp-image-55829"/></figure>



แฮปปี้ได้ตลอดวัน



อย่างที่เล่าไปแล้วว่า ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’ ป้องกันการรั่วซึมได้ยาวนานถึง 6 ชั่วโมง ทำให้พี่ๆ ผู้สูงอายุติดเตียงที่มีกิจวัตรบนเตียงในตอนกลางวัน อย่างเช่นการนั่งดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือนั่งคุยกับลูกหลาน เมื่อมีสุขอนามัยที่ดี ก็แฮปปี้ได้ตลอดวัน ไม่ต้องกังวลกับความอับชื้น



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/12/MicrosoftTeams-image-100.png" alt="" class="wp-image-55830"/></figure>



หลับสบายได้ตลอดคืน



มาถึงช่วงเวลากลางคืน ผู้สูงอายุต้องการช่วงเวลานอนที่เต็มอิ่มอย่างเพียงพอ เช่นเดียวกับวัยอื่นๆ หากต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ หรือมีอาการอับชื่นที่ทำให้หลับไม่สนิท ก็อาจเป็นการรบกวนการนอนได้ แต่เมื่อใช้ ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’ ก็หมดห่วง หลับสบายตลอดคืน ตื่นมาได้อย่างแฮปปี้สดใส



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/12/MicrosoftTeams-image-105.png" alt="" class="wp-image-55831"/></figure>



ประหยัดทั้งค่าใช้จ่าย ประหยัดทั้งเวลา



นอกจากการใช้ ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’ จะช่วยให้ผู้สูงวัยแฮปปี้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืนแล้ว ยังมาพร้อมกับความประหยัด เพราะเมื่อใช้ ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc' 4 แผ่น คู่กับ 'เซอร์เทนตี้เทป’ 2 ชิ้น ต่อวันเท่านั้น ช่วยให้ซึมซับมากขึ้น ลดค่าใช้จ่าย ที่สำคัญผู้ดูแลหรือลูกหลานก็สะดวกสบาย เพราะถอดเปลี่ยนง่าย ประหยัดเวลามากขึ้นอีกด้วย



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/12/MicrosoftTeams-image-104.png" alt="" class="wp-image-55832"/></figure>



สูงวัยแฮปปี้ คนใกล้ชิดก็แฮปปี้



แม้ว่าปัญหาเรื่องการขับถ่าย อาจเป็นปัญหาใหญ่ของผู้สูงอายุติดเตียง แต่เมื่อมีตัวช่วยอย่าง ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ &amp; ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป’ ก็ทำให้ผู้สูงวัยแฮปปี้ สบายกายสบายใจได้ตลอดวัน คนใกล้ชิดก็แฮปปี้ด้วยเช่นกัน



สามารถหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าทั่วไป Tesco, Big C หรือสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ Lazada, Shopee ส่งตรงถึงบ้าน พร้อมใช้ทันที

สูงวัยสบายกาย แฮปปี้ได้ตลอดวัน ด้วยตัวช่วยลดการเกิดแผลกดทับ ‘เซอร์เทนตี้ แผ่นเสริมซึมซับ เดย์ & ไนท์ 400cc และ เซอร์เทนตี้เทป

ยังแฮปปี้ขอเล่า 3 เรื่องที่สูงวัยควรรู้ก่อนออกกำลังกายให้ฟัง เพื่อที่พี่ๆ จะได้มั่นใจว่า การออกกำลังกายของเราถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย

ไม่ว่าจะอายุเท่าไร การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่จำเป็นและควรทำอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ทั้งยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอีกด้วย และเพื่อให้ได้ผลดี ผู้สูงอายุควรออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนานประมาณ 30-45 นาที&nbsp;



อย่างไรก็ตาม หากพี่ๆ เพิ่งเคยออกกำลังกายเป็นครั้งแรก ควรเริ่มต้นด้วยระยะเวลาน้อยๆ ก่อน เมื่อร่างกายคุ้นชินแล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาให้มากขึ้น ส่วนการออกกำลังกายก็ควรเลือกกิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลิน เพราะจะทำให้รู้สึกสนุกและอยากทำเป็นประจำ เช่น การเดินเล่นรอบหมู่บ้าน วิ่งหรือถีบจักรยานในสวนสาธารณะ ว่ายน้ำ พายเรือ ตีกอล์ฟ เต้นรำ หรือแม้แต่การทำงานบ้าน ก็ถือเป็นการออกกำลังกายได้เช่นกัน&nbsp;



แต่ก่อนที่พวกเราจะเริ่มไปออกกำลังกายกัน ยังแฮปปี้ขอเล่า 3 เรื่องที่สูงวัยควรรู้ก่อนออกกำลังกายให้ฟังเสียก่อน เพื่อที่พี่ๆ จะได้มั่นใจว่า การออกกำลังกายของเราถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายของตัวเอง



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/11/senior-before-exercise_FB-post.png" alt="" class="wp-image-55749"/></figure>



1. สิ่งที่ต้องทำทุกครั้งก่อนออกกำลังกาย



การอบอุ่นร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมันคือการส่งสัญญาณบอกร่างกายว่าเรากำลังจะทำกิจกรรมบางอย่างที่ต้องการการประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวของข้อต่อมากกว่าปกติ การอบอุ่นร่างกายจะทำให้พี่ๆ รู้สึกเหนื่อยช้าลง ลดความอ่อนล้าของร่างกาย และออกกำลังกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



สำหรับผู้สูงอายุควรใช้เวลาอบอุ่นร่างกายประมาณ 5-10 นาที ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายแบบเบาๆ เช่น การเดินช้าๆ เพื่อให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าตอนที่พักผ่อน หรือยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณแขนและขาให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพื่อลดอาการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/11/senior-before-exercise_FB-post-copy.png" alt="" class="wp-image-55750"/></figure>



2. ประเภทของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ 



การเลือกวิธีออกกำลังกายที่เหมาะกับสภาพร่างกายของเราจะช่วยเสริมความแข็งแรงหรือชะลอความเสื่อมของระบบต่างๆ ในร่างกายได้อย่างถูกจุด การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้



1)การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพปอดและหัวใจ 



การออกกำลังกายประเภทนี้ควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 30-40 นาที โดยเลือกวิธีที่เหมาะสมกับระดับความแข็งแรงของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น พี่ๆ ที่เพิ่งกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งในรอบหลายปี อาจเลือกออกกำลังกายด้วยการเดินหรือถีบจักรยานก่อน ส่วนการวิ่งอาจทำให้ผู้สูงอายุหกล้มได้ง่ายหรือเกิดแรงกระแทกต่อข้อเข่าและข้อเท้าได้ วิธีนี้จึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่แข็งแรงเท่านั้น



นอกจากนี้ก็มีการว่ายน้ำที่เป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ไม่ก่อให้เกิดแรงกระแทก ส่วนการเต้นแอโรบิค ผู้สูงอายุควรใช้ท่าเต้นที่มีแรงกระแทกต่ำ หากมีการยกเข่าสูงต้องมีเท้าข้างใดข้างหนึ่งอยู่กับพื้นตลอดเวลา ไม่ควรมีการกระโดด วิ่ง หรือเตะเท้าสูง



2)การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและการผ่อนคลาย



การออกกำลังกายยอดฮิตในหมู่ผู้สูงอายุ วิธีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อยืดกล้ามเนื้อข้อต่อต่างๆ และเพื่อเพิ่มความคล่องตัว รวมทั้งช่วยด้านการทรงตัว เช่น การเล่นโยคะ การรำไทเก็ก หรือการบริหารร่างกายแบบยืดเหยียด เป็นต้น โดยสิ่งที่ผู้สูงอายุพึงปฏิบัติคือ การยืดกล้ามเนื้ออย่างช้าๆ จนรู้สึกตึง และเมื่อถึงจุดที่เริ่มเจ็บให้ยืดกล้ามเนื้อค้างไว้ ก่อนผ่อนคลายกลับสู่ท่าเดิม&nbsp;



3)การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ



การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น เช่น การใช้ท่าบริหารที่เน้นการเคลื่อนไหวของข้อต่อเป็นหลัก อย่างการบริหารคอ แขน หรือลําตัว แต่สิ่งที่พึงระวังคือ ในกรณีของผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการทรงตัวหรือสายตา ควรใช้ท่านั่งหรือท่านอนแทนท่ายืน



ส่วนผู้สูงอายุที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงอาจเลือกการออกกำลังกายโดยใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น เชือกและรอก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้เป็นอุปกรณ์ประจำบ้านให้เหมาะสมได้ เช่น ถ้าผู้สูงอายุมีร่างกายสูงใหญ่หรือน้ำหนักมากก็ต้องใช้เชือกและรอกที่มีขนาดใหญ่ แต่ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วย ก็สามารถเลือกการออกกำลังกายโดยใช้วิธีต้านแรงแทนได้ เช่น การยกมือขึ้นต้านแรงกับแรงจากมือผู้อื่น อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายวิธีนี้อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น จึงไม่เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/11/senior-before-exercise_FB-post-copy-2.png" alt="" class="wp-image-55751"/></figure>



3. ข้อพึงระวังในการออกกำลังกายและโรคประจำตัว



ความชราหรือการเจ็บป่วยไม่ใช่ข้อห้ามในการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม หากผู้สูงอายุเป็นโรคที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เพื่อประเมินว่าการออกกำลังกายแบบไหนจึงจะดีและเหมาะสมที่สุด ส่วนผู้สูงอายุที่มีสุขภาพร่างกายตามวัยก็มีสิ่งที่ควรพึงระวังเช่นกัน ดังนี้



1)หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมาก เช่น การเต้นแอโรบิคที่ต้องออกแรงกระโดดหรือบิดเอวเร็วๆ&nbsp;



2)หากมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่า ข้อเท้า หรือข้อสะโพก ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งหรือเต้นแอโรบิค



3)หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงร้อนจัด เพราะร่างกายจะสูญเสียน้ำมาก ทำให้อ่อนเพลียและเป็นลมได้



4)หากเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย อาจเริ่มที่ 20 นาที/ครั้ง แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาตามความเหมาะสม ไม่หักโหม



5)พบแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพอย่างละเอียดอยู่เสมอ โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด



6)ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก อ่อนเพลียผิดปกติ หรือเกิดอาการอื่นๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้หยุดออกกำลังกายและไปพบแพทย์ทันที



เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 3 เรื่องต้องรู้ก่อนสูงวัยออกกำลังกาย ถ้าพี่ๆ มีคำแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกกำลังกายในผู้สูงอายุ ก็อย่าลืมคอมเมนต์มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ



อ้างอิง <a href="http://nurse.swu.ac.th/2555/file/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2.pdf">ผู้สูงอายุกับการออกกำลังกาย.pdf (swu.ac.th)</a> <a href="https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD/">ผู้สูงอายุ ออกกำลังกายอย่างไรจึงเหมาะสม • รามา แชนแนล (mahidol.ac.th)</a>

3 เรื่องที่ผู้สูงวัยควรรู้ ก่อนออกกำลังกาย

Low Self-Esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำ คือ หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า รู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต หรือแม้แต่

ชวนรู้จักภาวะ Low Self-Esteem การเห็นคุณค่าในตัวเองสำคัญอย่างไร?

สำหรับผู้สูงอายุ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกิน 4-6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น เพราะหากกินมากไป ร่างกายจะได้รับพลังงานเกิน จนสะสมเป็นไขมัน

หากเอ่ยถึง 'รสหวาน' เชื่อว่าคือหนึ่งในรสชาติที่วัยเก๋าหลายคนโปรดปรานมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว เพราะเป็นรสชาติที่กินง่าย และส่วนใหญ่จะอยู่ในของว่าง หรือเครื่องดื่มแสนอร่อย



แต่อย่างที่ทราบกันว่า ความหวานจากน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับผู้สูงอายุ ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่เกิน 4-6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น เพราะหากกินมากไป ร่างกายจะได้รับพลังงานเกิน จนสะสมเป็นไขมัน อาจทำให้อ้วนและนำไปสู่โรคอื่นๆ ได้



ยังแฮปปี้ และ เนสท์เล่ สนับสนุนให้คนไทยแข็งแรง และอยากให้วัยเก๋าทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ จึงอยากชวนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกินหวานอย่างพอดี เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีความสุขในทุกๆ วัน



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/09/nestle-น้ำตาล-04.png" alt="" class="wp-image-55200"/></figure>



ประเภทของน้ำตาล ความหวานที่ต้องใส่ใจ



น้ำตาลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น น้ำตาลในนมหรือแลคโตส น้ำตาลในผลไม้หรือฟรุกโตส รวมถึงน้ำตาลจากมอลต์หรือมอลโตส ประโยชน์ของน้ำตาลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ นอกจากให้พลังงานแล้ว ยังได้ประโยชน์อื่นๆ ที่มาพร้อมกับอาหารนั้นๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น นม 1 แก้ว หรือประมาณ 240 มิลลิลิตร จะมีน้ำตาลธรรมชาติหรือแลคโตสอยู่ประมาณ 12 กรัม ส่วนน้ำตาลในผลไม้หรือฟรุกโตส จะมีปริมาณน้ำตาลแตกต่างไปตามชนิดของผลไม้ เช่น แอปเปิลเขียว 1 ผลเล็ก (100 กรัม) จะมีน้ำตาลฟรุกโตส 5.9 กรัม ข้อควรระวัง คือถึงแม้จะเป็นน้ำตาลตามธรรมชาติ แต่ก็ยังต้องระวังปริมาณที่กินเข้าไป เพราะถ้าหากกินมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน



น้ำตาลที่เติมเพิ่ม เช่น น้ำตาลทราย น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง ที่ให้รสหวานแสนอร่อยและให้พลังงานกับร่างกาย โดยน้ำตาลชนิดนี้มีแฝงอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มที่กินเป็นประจำ ซึ่งถือเป็นความหวานที่ผู้สูงอายุต้องระวังมากกว่าน้ำตาลตามธรรมชาติ เพราะการเติมน้ำตาลเพิ่มเข้าไปในอาหารบ่อยๆ จนเกินปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เกิดการเสพติดรสหวาน เสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างเช่นโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานได้ เพราะอาหารที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดการอักเสบ ทำร้ายจุลินทรีย์ในลําไส้ ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะไม่สมดุล ส่งผลเสียต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/09/nestle-น้ำตาล-05.png" alt="" class="wp-image-55201"/></figure>



สำรวจน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารแต่ละชนิด



เชื่อว่า พี่ๆ หลายคนอาจนึกภาพไม่ออก ว่าน้ำตาลที่เติมเพิ่มหรือแอบซ่อนอยู่ในอาหารแต่ละชนิดมีมากแค่ไหน ลองไปสำรวจข้อมูลนี้ เพื่อเปรียบเทียบปริมาณของน้ำตาลเป็นช้อนชากันเลย



น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (350 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 37 กรัม หรือ ประมาณ 9 ช้อนชา น้ำผลไม้กล่อง 1 กล่อง (200 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 18 กรัม หรือ ประมาณ 4.5 ช้อนชา ชานมไข่มุก 1 แก้ว (500 มิลลิลิตร) มีน้ำตาล 38 กรัม หรือ ประมาณ 9 ช้อนชา ทุเรียนหมอนทอง 100 กรัม มีน้ำตาล 14 กรัม หรือ ประมาณ 3.5 ช้อนชา



เรียกว่าเป็นปริมาณที่มากเกินกว่าร่างกายสมควรรับในแต่ละวัน เพราะปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม ไม่ควรกินเกิน 4-6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น



<figure class="wp-block-image size-large"><img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_upload/2021/09/nestle-น้ำตาล-06.png" alt="" class="wp-image-55202"/></figure>



4 เทคนิค ลดน้ำตาล กินหวานอย่างไรให้พอดี



สำหรับพี่ๆ คนไหนที่กินน้ำตาลในปริมาณพอเหมาะอยู่แล้ว ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่หากใครยังติดหวานอยู่ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กันดู



1) เลือกเครื่องดื่ม สั่งหวานน้อย เพราะเครื่องดื่มในปัจจุบันมีน้ำตาลมาก ควรสั่งแบบลดระดับความหวานให้เหลือ 0-50%



2) อ่านฉลากโภชนาการ ตรวจสอบว่าอาหารและเครื่องดื่มมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เพื่อเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก



3) เลือกผลไม้หวานน้อย กินผลไม้แทนขนมหรืออาหารว่าง เช่น แอปเปิลเขียว ฝรั่ง กล้วย แก้วมังกร หรือเบอร์รี



4) มองหาสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ที่ช่วยบอกว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผ่านการตรวจสอบปริมาณน้ำตาล ไขมัน โซเดียม ว่าอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม



เป็นอย่างไรกันบ้าง กับเทคนิคลดหวานสไตล์วัยเก๋า รู้อย่างนี้แล้ว ชาวยังแฮปปี้ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับการเลือกกินอาหารและเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม หวานแบบพอดี สุขภาพแข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายแน่นอน



สนับสนุนข้อมูลโดย <a href="https://www.nestle.co.th/th/brands?fbclid=IwAR2eOHvzBI5R821VvEAG04wRCYXNgufqiYqBV5N5sN9470R5Ify2of26zME" rel="noreferrer noopener" target="_blank">https://www.nestle.co.th/th/brands</a>

4 เทคนิค ลดน้ำตาลกินหวานอย่างไรให้แฮปปี้

อย่างที่ทราบกันว่า 'หัวใจ' คืออวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย การจะมีสุขภาพดีได้ หัวใจต้องแข็งแรงก่อนเป็นอันดับแรก แต่รู้หรือไม่ว่า หนึ่งในโรค

วัยเก๋าอยากสุขภาพดี ต้องมี ‘6 ฮีโร่’ ผู้ดูแลหัวใจให้แข็งแรง

‘อัลไซเมอร์’ เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ป่วยที่เป็นโรค

สุขภาพ