#ADVERTORIAL 

วันนี้ดื่มน้ำไปกี่แก้วแล้วนะ คำถามสำคัญที่พี่ๆ วัยเก๋าหลายคนอาจมองข้าม  
เพราะ 'น้ำ' ในร่างกายมีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก ทั้งช่วยรักษาอุณหภูมิ สร้างสมดุลแร่ธาตุ รวมถึงช่วยนำสารอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น และยังเป็นส่วนประกอบที่ช่วยหล่อลื่นให้กับข้อต่อต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ 
ยังแฮปปี้ และ เนสท์เล่ สนับสนุนให้คนไทยแข็งแรง และอยากให้วัยเก๋าทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ จึงอยากชวนไปสำรวจตัวเอง พร้อมวิธีการเติมความสดชื่นด้วยน้ำและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการชะลอวัย รวมถึงเคล็ดลับการมีสุขภาพดี บอกเลยว่าทำเองก็ดี แบ่งปันให้เพื่อนวัยเก๋าก็ยิ่งดี 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/senior-nestle-water_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ภาวะขาดน้ำ อันตรายที่คาดไม่ถึง 
ภาวะขาดน้ำ อันตรายที่คาดไม่ถึง เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มักจะกินโปรตีนไม่เพียงพอ มวลกล้ามจึงเนื้อลดลงและส่งผลให้ปริมาณน้ำในร่างกายลดลงไปด้วย ก่อนจะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อความกระหายน้ำลดลง และยิ่งในผู้สูงอายุที่ดื่มน้ำน้อยกว่า 8 แก้วต่อวัน ร่างกายจะได้รับน้ำไม่เพียงพอกับที่สูญเสียไป ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ สังเกตจากอาการที่แสดงออกคือ ชีพจรเต้นเร็วกว่า 120 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนท่า ทำให้วิงเวียนศีรษะ มีภาวะสับสน ปากแห้ง อยากกินน้ำตาล ท้องผูก ปัสสาวะสีเข้ม ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลงมาก หากมีอาการหนัก อาจถึงขั้นเป็นลมและหมดสติได้เลยทีเดียว ถ้าหากดื่มน้ำเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว นอกจากจะช่วยเติมความสดชื่น ปลอดภัยจากภาวะขาดน้ำแล้ว ยังมีผลดีคือช่วยส่งเสริมความจำ การทำงานของสมอง และอารมณ์ด้วย 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/senior-nestle-water_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ดื่มน้ำอย่างไร ให้ชะลอวัย 
สำหรับพี่ๆ วัยเก๋าคนไหน ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอในแต่ละวัน ริ้วรอยจะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่วัย 40 ปีขึ้นไป เพราะคอลลาเจนที่เป็นโปรตีนส่วนประกอบหลักกว่า 80% ของผิวเริ่มลดลงและน้ำในผิวลดลง ข้อสังเกตลักษณะของผิวขาดน้ำจะมีความยืดหยุ่นน้อย ไม่สดใส รวมถึงจะมีอาการผิวแห้ง ซึ่งผิวบริเวณนั้นอาจมีลักษณะหยาบ เป็นขุย หรือคัน ซึ่งส่งผลทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายและยิ่งเห็นชัด 
โดยเคล็ดลับในการดื่มน้ำเพื่อชะลอวัย ให้พี่ๆ ดื่มน้ำสะอาดมีคุณภาพให้ครบ 8 แก้วต่อวัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละมากๆ เช่น 2–3 แก้วติดต่อกันทันที ควรดื่มตามปกติ แต่บ่อยครั้งแทน เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำที่เพียงพอ ที่สำคัญต้องไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือเย็นจัดเกินไป 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/senior-nestle-water_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

สูตร 1 3 3 1 เทคนิคง่ายๆ ในการดื่มน้ำเปล่าให้ครบ 8 แก้วต่อวัน  
ตื่นนอน ดื่ม 1 แก้ว 
ก่อนอาหาร 3 มื้อ ดื่ม 1 แก้ว 
หลังอาหาร 3 มื้อ ดื่ม 1 แก้ว 
ก่อนนอน ดื่ม 1 แก้ว 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/MicrosoftTeams-image%20%2819%29.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>


<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/MicrosoftTeams-image%20%2820%29.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

9 เคล็ดลับ เติมความสดชื่นให้ร่างกาย ดูแลทุกวันให้สุขภาพดี 
1. ดื่มน้ำอุ่นเล็กน้อยในตอนเช้า ช่วยทำให้การขับถ่ายดีขึ้น 
2. ควรดื่มน้ำช้าๆ เพื่อป้องกันการสำลัก 
3. หลังการกินยาและอาหาร ให้ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว 
4. ไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลาขณะกินอาหาร หรือกินแบบข้าวคำน้ำคำ หากรู้สึกฝืดคอ ให้ซดน้ำซุปแกงจืดแทน 
5. เพิ่มการดื่มน้ำ โดยให้ดื่มเครื่องดื่มที่ชอบระหว่างวันได้ แต่ควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานจัด ให้เลือกเครื่องดื่มที่ไม่เติมน้ำตาล หรือเป็นสูตรที่ลดน้ำตาลลง 
6. ไม่ใช้ภาชนะสำหรับดื่มน้ำร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ภาชนะส่วนตัว มีฝาปิดสนิท เพื่อสุขอนามัยที่ดี และป้องกันการปนเปื้อนจากโรคติดต่อต่างๆ ได้ 
7. เลือกดื่มน้ำที่สะอาดปลอดภัย ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่ใช้เทคโนโลยีการกรองละเอียด และได้รับการรับรองมาตรฐาน อย.  
8. เพิ่มการดูแลผิวพรรณให้สุขภาพดี ควรกินโปรตีนต่อวันให้เพียงพอ โดยอาจเลือกเครื่องดื่มที่ให้โปรตีนสูงควบคู่กับการเสริมคอลลาเจน ชนิดเฉพาะที่มีผลงานวิจัยรองรับ เช่น Bioactive Collagen Peptide ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวขึ้นมาใหม่ได้ ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น (สำหรับพี่ๆ คนไหนที่มีโรคประจำตัวที่ต้องจำกัดการกินโปรตีนต่อวัน ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหาร เพื่อการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมด้วย) 
9. เลือกกินผลไม้หวานน้อยที่ให้วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอสูง เช่น ฝรั่ง, ชมพู่, แก้วมังกร, ส้มโอ, สตรอเบอร์รี, แตงโม ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ทำให้การดูแลผิวพรรณได้ผลมากขึ้น  

สนับสนุนข้อมูลโดย  
https://www.nestlehealthscience-th.com/health-management/aging/Boost_collagen?gclid=CjwKCAjwq5-WBhB7EiwAl-HEkn1EkFBzuMG85HX5TIGN3JpZ5x5o3nwTSg1sWcm3xBwg5nsO5KABRhoC0CsQAvD_BwE) 
https://www.nestlepurelife.com/th/th-th/hydration

เคล็ดลับเติมความสดชื่นสดใส ชะลอวัย เสริมสร้างสุขภาพดี 

การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้หลายคนกลัวการออกไปข้างนอก และเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ&nbsp;
.
แต่หารู้ไม่ว่าการนั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยได้เดิน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อมวลกล้ามเนื้อ เพราะกล้ามเนื้อจะค่อยๆ เล็กลีบ ร่างกายก็จะอ่อนแอลง และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคซาร์โคพีเนีย (Sarcopenia)&nbsp;
.
ยังแฮปปี้ชวนพี่ๆ ไปรู้จักกับ โรคซาร์โคพีเนีย (Sarcopenia) หรือ โรคมวลกล้ามเนื้อสลาย ที่ต้องระวัง&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/sarcopenia_line%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

อาการเบื้องต้นของโรคซาร์โคพีเนีย&nbsp;
สังเกตได้จากกล้ามเนื้อบริเวณแขน ขาของผู้ป่วยจะเล็ก ลีบ และอ่อนแรงลง เนื่องจากขาดการออกกำลังกาย บวกกับการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนไม่เพียงพอ &nbsp;
.
อย่างไรก็ดี พี่ๆ ที่รูปร่างผอมบางไม่ต้องกังวลไป เพราะไม่ใช่ว่าคนผอมทุกคนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซาร์โคพีเนีย แต่ถ้ากล้ามเนื้อแขน ขา เล็กลีบลงไปเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด&nbsp;
.
โรคซาร์โคพีเนียมักเกิดกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 65-80 ปี โดยผู้ป่วยอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อสูงถึง 8% ทุกๆ 10 ปี อย่างไรก็ดี โรคนี้ไม่ได้เกิดกับผู้สูงวัยเท่านั้น คนในวัย 30-40 ปีก็มีโอกาสเป็นได้&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/sarcopenia_line%20copy%204.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

สัญญาณอื่นๆ ที่บ่งชี้ว่าอาจกำลังเป็นโรคซาร์โคพีเนีย&nbsp;
- ไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้เหมือนเดิม&nbsp;
- เดินช้าลง&nbsp;
- เดินขึ้นบันไดด้วยความลำบาก&nbsp;
- ล้มบ่อย เนื่องจากสูญเสียการทรงตัว&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/sarcopenia_line%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

จะชะลอการเป็นโรคซาร์โคพีเนียได้อย่างไร&nbsp;
ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอ ซึ่งหากปล่อยให้ตัวเองทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำๆ นานไปมวลกล้ามเนื้อจะค่อยๆ สูญสลาย และมีโอกาสที่จะเป็นโรคซาร์โคพีเนียได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะอายุมากขึ้น ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย&nbsp;
.
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พี่ๆ ควรหมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อ ด้วยการยกแขน ขาบ่อยๆ ถ้าใช้เวทเทรนนิ่งช่วยในการเพิ่มแรงต้านด้วยก็จะยิ่งดี อีกอย่างคือที่ควรทำคือกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวและใช้กล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง&nbsp;
.
ในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและชัดเจนเหมือนในวัยหนุ่มสาว แต่ก็สามารถชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อและช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ที่สำคัญนอกจากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว จะต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/sarcopenia_line%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

วิธีออกกำลังกายง่ายๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคซาร์โคพีเนีย&nbsp;
กภ.ทวีศักดิ์ ปฐม หัวหน้างานกายภาพบำบัด ศูนย์การแพทย์มหิดลบำรุงรักษ์จังหวัดนครสรรค์ ให้คำแนะนำถึงวิธีออกกำลังกายที่ทำได้ง่ายๆ ดังนี้&nbsp;
.
สำหรับผู้สูงวัยที่สามารถยืนและเดินได้ด้วยตัวเอง ให้พยายามยืนขึ้นแล้วฝึกใช้มือและแขนดันผนังในแนวตั้ง โดยใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงกด หากทำเป็นประจำ จะทำให้กำลังแขนแข็งแรงขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์พิเศษมาใช้ให้สิ้นเปลือง &nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/08/MicrosoftTeams-image%20%28473%29.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ส่วนผู้ที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน (Walker) ให้พยายามใช้มือและแขนพยุงตัวให้ลุกขึ้นเดินด้วยตัวเอง เพื่อให้กล้ามเนื้อเข่า ขา และเท้าได้เคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อในส่วนอื่นๆ รวมทั้งมือ แขน หลัง ไหล่ และสะโพกให้เคลื่อนไหวตามไปด้วย การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากที่สุดในผู้สูงอายุ โดยสาเหตุที่แท้จริงก็เกี่ยวเนื่องกับโรคซาร์โคพีเนียนี่เอง&nbsp;
.
สุดท้ายนี้ ขอให้ระลึกไว้ว่า ทรัพย์สมบัติอื่นที่เรามี ยิ่งใช้อาจยิ่งหมด แต่ 'กล้ามเนื้อ' ยิ่งใช้ กลับยิ่งแข็งแรง ดังนั้น อย่าอยู่นิ่งนานๆ หมั่นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเลือกรับประทานแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ พี่ๆ จะได้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคซาร์โคพีเนียตลอดไป &nbsp;
อ้างอิงข้อมูลจาก&nbsp;
<a href="https://www.bangkokbiznews.com/social/1008689" target="_blank"><ins>https://www.bangkokbiznews.com/social/1008689</ins></a>&nbsp;
<a href="https://hmong.in.th/wiki/Sarcopenia" target="_blank"><ins>https://hmong.in.th/wiki/Sarcopenia</ins></a>&nbsp;
<a href="https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/23167-sarcopenia" target="_blank"><ins>https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/23167-sarcopenia</ins></a>&nbsp;

ซาร์โคพีเนีย (Sarcopenia) โรคมวลกล้ามเนื้อสลาย ผู้สูงวัยต้องระวัง! 

ร่างกายและจิตใจ มักถูกมองว่าเป็นสองสิ่งที่แยกขาดจากกัน หลายคนไม่คิดว่า ‘ใจ’ นั้นก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้เช่นเดียวกับ ‘กาย’ เพราะเวลาที่เราเจ็บป่วยทางกายก็สามารถมองเห็นอาการได้ แต่ป่วยทางใจดูอย่างไรก็ไม่ออก 
. 
ด้วยมุมมองเหล่านี้ ทำให้หลายคนมุ่งไปที่การดูแลรักษาสุขภาพกาย จนอาจละเลยสภาพจิตใจของตัวเอง หรือบางคนที่กำลังเผชิญกับสุขภาพจิต เครียด กังวล ก็อาจไม่ได้นึกถึงการฟื้นฟูสุขภาพกาย ทั้งๆ ที่ ร่างกายและจิตใจของมนุษย์นั้นทำงานเชื่อมโยงกันตลอดเวลา 
 .
มีผลการวิจัยพบว่า 30% ของผู้ที่ร่างกายไม่แข็งแรง มักจะมีสุขภาพจิตไม่ดีเช่นกัน โดยส่วนใหญ่มักเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ในทำนองเดียวกัน สุขภาพจิตที่ไม่ดีก็สามารถส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของพี่ๆ ได้เช่นกัน 
.
ลองไปหาเหตุผลกันว่า ทำไมวัยเก๋าต้องรักษาสมดุลทั้งกายและใจ ให้ยังเฮลท์ตี้ไปพร้อมๆ กัน


<img src="https://lh3.googleusercontent.com/hx7oJhaOmguJtNyEeFTuz_zFPvnFQsp5uioBYgl_SgJPvd2IsUymatLzlBXDxItXEbsdKR_xHR7cJqu5mcHejYdyWBAJBL9OiI289w1B5b6NYqrCfWp8fMELrs9D9T8g4QcaPl7m25WaWcWJ" alt="" style="height: ;width: "/>
&nbsp;
สุขภาพกายที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
พฤติกรรมการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้าน หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ มีผลต่อสุขภาพใจมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเราออกกำลังกาย ไม่เพียงแต่จะได้ร่างกายที่แข็งแรง ฟิตแอนด์เฟิร์มเท่านั้น แต่ร่างกายของเราจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน หรือที่เรียกว่า ‘ฮอร์โมนความสุข’ กระตุ้นอารมณ์ของเราให้สดชื่น แจ่มใส ตลอดวัน ทั้งยังส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้นอนหลับฝันดีอย่างแน่นอน นอกจากนี้หากพี่ๆ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่า นอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานที่จำเป็นเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง สารอาหารเหล่านี้ยังส่งผลต่อการพัฒนาและการป้องกันสุขภาพจิตหรือสภาวะทางระบบประสาทต่างๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และภาวะสมองเสื่อมอีกด้วย
&nbsp;

<img src="https://lh3.googleusercontent.com/XmDMTQlmGwi64pYEhphefa2ZHlgbzTOdFmrNo6SMcyQOw-kAzhMzmG9I8bWxv0BY0aJgKoIAKKrJPDx12vJ1m2OJZgZKJpIaPsdPF17QDKcOpgvrWQ03ILNpvpjJeke0W6vWNjn6WTr6jV9h" alt="" style="height: ;width: "/>
&nbsp;
สุขภาพใจสำคัญต่อสุขภาพกาย 
สุขภาพจิตที่ดีจะช่วยให้พี่ๆ มีสุขภาพดีตามไปด้วย ทำให้รู้สึกสนุกสนานกับชีวิต มีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาสุขภาพกายมากขึ้น มีแรงฮึดอยากไปออกกำลังกาย รู้จักรักตัวเอง และเลือกใส่ใจเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ มีผลการวิจัยพบว่าสารความสุขในสมองช่วยลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆ อันเป็นที่มาของโรค<a href="https://www.webmd.com/mental-health/how-does-mental-health-affect-physical-health" target="_self">หัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง</a>ได้ ในขณะเดียวกันสุขภาพจิตที่ไม่ดี เช่นภาวะซึมเศร้า เครียด เหงาจะเพิ่มความเหนื่อยล้า อ่อนแรง ทำให้พี่ๆ ไม่อยากลุกขึ้นจะไปทำอะไร นำไปสู่การออกกำลังกายน้อยลงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและปัญหาสุขภาพร่างกายอื่นๆ ตามมา

<img src="https://lh5.googleusercontent.com/QOYu9gCHxDWSb0-8LI4CRnA7g3MfWvY3uojMzdfyjGBvKQdL9gdFl4mflifQqZL_S6arjZ1Z4RakO8ONiLwPZZy-7H6cjl25wBhdn6fQSJrlyFgy-XpuTlpYBFLWCfV0w12JPeNJmM4UsK69" alt="" style="height: ;width: "/>
อยากแข็งแรงต้องรักษาสมดุลทั้งกายและใจ 
วัยเก๋าต้องดูแลสุขภาพของตัวเองครบทุกด้าน ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกาย ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ละเลยการดูแลสุขภาพใจ เพราะทั้งสองด้านมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก ตามเหตุผลที่เล่าไปทั้งหมด เพื่อจะได้ชื่อว่า เป็นวัยเก๋าสุขภาพดีไม่สนวัยตัวจริง! 
&nbsp;
&nbsp;
อ้างอิง
<a href="https://www.goodtherapy.org/blog/whats-the-connection-between-physical-health-and-mental-health/" target="_self"><ins>https://www.goodtherapy.org/blog/whats-the-connection-between-physical-health-and-mental-health/</ins></a>
<a href="https://www.helpinghandshomecare.co.uk/blog/understanding-the-connection-between-physical-and-mental-health/" target="_self"><ins>https://www.helpinghandshomecare.co.uk/blog/understanding-the-connection-between-physical-and-mental-health</ins></a> &nbsp;

ทำไมสุขภาพกาย จึงส่งผลต่อสุขภาพใจ : เหตุผลดีๆ ที่วัยเก๋าต้องรักษาสมดุลทั้งกายใจ

การมีสุขภาพที่ดีอาจไม่จำเป็นต้องสร้างด้วยพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่พฤติกรรมธรรมดาเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำจนติดเป็นนิสัยบางอย่างสามารถสร้างสุขภาพที่ดีได้ เช่น การดื่มน้ำหลังตื่นนอน หรือ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน 
.
การแสวงหาหนทางเพื่อสุขภาพที่ดี เป็นวัฒนธรรมที่ทุกชนชาติล้วนมีเหมือนกัน พี่ๆ ทราบไหมว่าสำหรับประเทศจีนนั้น มีศาสตร์ชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘หย่างเซิง’ ซึ่งหมายถึง การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่ไม่เพียงแต่มุ่งรักษาโรค เพราะคำว่า ‘หย่าง’ 养 หมายถึง ‘การบำรุง’และ ‘เซิง’ 生 หมายถึง ‘ชีวิต’ หย่างเซิงจึงเป็นศาสตร์เพื่อบำรุงชีวิตทั้งกายและใจให้แข็งแรง 
.
วันนี้ยังแฮปปี้ขอพาพี่ๆ ทุกคน ลอดรั้วแดนมังกร ย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ชิง เพื่อขอยืมเคล็ดลับจากคุณหมอ Xu Wenbi แพทย์ผู้ดูแลในราชวงศ์ชิง ผู้เขียน ‘ข้อห้ามเพื่อสุขภาพดี’ ในหนังสือของเขา ตามความเชื่อว่าสุขภาพที่ดีนั้น สามารถสร้างได้ด้วยนิสัยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ในแต่ละวัน จะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลย 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-chinese%20medical_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

1. อย่าปล่อยให้ศีรษะรับความเย็น
เมื่อต้องออกนอกบ้านในยามเช้าตรู่ หรือวันที่อากาศเย็น ให้รักษาความอบอุ่นบนศีรษะ ด้วยการสวมหมวก เนื่องจากตอนเช้าเป็นเวลาเริ่มต้นของพลังงานหยาง (Yang) ซึ่งจะลอยขึ้นด้านบนของร่างกายมนุษย์และไปรวมตัวที่บริเวณศีรษะ ถ้าหากไม่ให้ความอบอุ่นแก่บริเวณศีรษะในตอนเช้าจะทำให้เกิดโรคจากความเย็นที่มากระทบได้ 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-chinese%20medical_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

2.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เย็นนานๆ
ร่างกายที่แข็งแรงจะต้องสมดุลทั้งพลังหยินและหยาง แต่การอยู่ในห้องที่มีความเย็นและชื้นในระยะเวลานาน อย่างเช่น ห้องทึบที่เปิดเครื่องปรับอากาศนานๆ หรือการนั่งในพื้นที่เปียกชื้นเป็นเวลานาน จะทำให้พลังหยางเสียสมดุล เพราะได้รับความเย็นชื้นมากเกินไป พี่ๆ จึงควรเปิดหน้าต่างให้มีแสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้องบ้าง 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-chinese%20medical_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

3. เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่ชุ่มเหงื่อ
เมื่อพี่ๆ รู้สึกว่าร่างกายชุ่มเหงื่อจนทำให้เสื้อผ้าเปียกชื้น ให้รีบเปลี่ยนชุดทันที เพราะในสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ จะส่งผลให้รูขุมขนเปิดกว้าง ซึ่งเปิดรับโรคจากภายนอกได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ความชุ่มชื้นจากเหงื่อเท่านั้น แต่การเปียกชื้นจากละอองน้ำ เช่น เสื้อผ้าที่เปียกฝน แม้จะเป็นการเปียกชื้นเพียงเล็กน้อยก็ควรเปลี่ยน 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-chinese%20medical_aw%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

4. อย่าสวมเสื้อผ้าที่ตากแดดหมาดๆ
ความเย็นเกินไปทำให้ร่างกายเสี่ยงโรค ความร้อนก็เช่นกัน พี่ๆ ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่ตากไว้กลางแดดทันที ควรรอให้ผ้าคลายความร้อนก่อนแล้วค่อยสวมใส่ เพราะเสื้อผ้าที่ผ่านความร้อนจากแสงแดดจัดๆ จะมีพิษร้อนสะสมอยู่ในเนื้อผ้า 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-chinese%20medical_aw%20copy%204.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

5. หลีกเลี่ยงการเปิดไฟหรือจุดตะเกียงเวลานอน
ขณะที่เรานอนหลับร่างกายของเราจะเปิดรับพลังหยิน การเปิดไฟ ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟจากธรรมชาติ หรือแสงไฟจากหลอดไฟ รวมถึงแสงจากจอต่างๆ ที่ไม่ได้ปิดให้เรียบร้อย จะรบกวนสภาวะที่ร่างกายเปิดรับพลังงาน ทำให้มีผลต่อจิตใจขณะนอนหลับ และส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ
.
พี่ๆ คงเห็นแล้วว่า 5 นิสัยเล็กๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งอุณหภูมิ อากาศ และแสงสว่างซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนภายในที่อยู่อาศัยได้ไม่ยากเลย แถมยังส่งผลต่อสุขภาพของเราอย่างมหาศาล และไม่ได้มีผลดีเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีจิตใจและอารมณ์ที่เหมาะสมอีกด้วย 
อ้างอิง <a href="http://health.people.com.cn/n/2015/0202/c14739-26492520.html" target="_self"><ins>http://health.people.com.cn/n/2015/0202/c14739-26492520.html</ins></a>
<a href="https://www.huachiewtcm.com/content/8479" target="_self"><ins>https://www.huachiewtcm.com/content/8479</ins></a>

5 นิสัยสุขภาพดี จากตำราแพทย์จีนแห่งราชวงศ์ชิง 

ว่ากันว่ายาวิเศษที่ดีที่สุด มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เพราะบรรดาโรคาพยาธิทั้งหลาย ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเราทั้งสิ้น เราจึงต้องจำกัดของเปรี้ยว หวาน เค็ม ของทอด ของปิ้งย่างทั้งหลาย เพื่อไม่ให้อร่อยปากลำบากกายกันภายหลัง
.
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พวกผัก ผลไม้ อาหารไขมันต่ำ อาจช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงก็จริง แต่พี่ๆ ทราบไหมว่า สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดจากการรับประทานเท่านั้น บางครั้ง การปล่อยให้ร่างกายได้ ‘หิว’ บ้าง ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพไม่น้อย!
.
ยังแฮปปี้ ขอนำผลการทดลองชิ้นใหม่ล่าสุด จากประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาสุขภาพมาฝากพี่ๆ วัยเก๋าทุกคน ผลการทดลองชิ้นนี้เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2565 นี่เอง เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับวิธีการคงน้ำพุแห่งความเยาว์วัยแห่งชีวิต โดยเริ่มง่ายๆ ด้วยการปล่อยให้ร่างกายได้ ‘หิว’ บ้าง
.
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ทากาฮาชิ (Takahashi) นักวิจัยจากสถาบันการแพทย์โฮเวิร์ด ฮิวจ์ส และเพื่อนร่วมงาน ได้รายงานผลการทดลองที่มหัศจรรย์เกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์ ซึ่งทำต่อเนื่องมายาวนานเป็นเวลาถึง 4 ปี ในวารสาร Science ว่า การรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ในเวลาที่เหมาะสมของวัน สามารถช่วยทำให้อายุขัยยืนยาวขึ้นได้จริง

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-IF_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

‘อดอาหาร’ ดีต่อสุขภาพ…จริง หรือ หลอก? 
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พี่ๆ อาจเคยได้ยิน แผนการลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเน้นการอดอาหารเป็นช่วงๆ หรือ ทำ Intermittent Fasting (IF) เช่น การอดอาหารแบบวันเว้นวัน หรือการรับประทานอาหารเฉพาะในช่วงเวลาหกถึงแปดชั่วโมงต่อวัน เพื่อพิสูจน์ว่าการอดอาหารส่งผลต่อสุขภาพจริงหรือไม่
 .
ทีมงานของทากาฮาชิได้ทำการทดลองครั้งใหญ่ต่อเนื่องยาวนานถึง 4 ปี พวกเขานำหนูหลายร้อยตัวมาควบคุมเวลาและปริมาณอาหาร โดยให้พวกมันกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำเพียงอย่างเดียว และให้กินในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่หนูมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าตอนกลางวัน ผลการทดลองพบว่า หนูเหล่านี้มีอายุขัยเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์ หรือมีอายุยืนเพิ่มขึ้นถึง 9 เดือนจากอายุขัยปกติ
 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-IF_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ประโยชน์ของการจำกัด ‘แคลอรี่’ 
ทากาฮาชิ กล่าวว่า งานวิจัยนี้ช่วยยืนยันว่าการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำที่เน้นการกินเฉพาะในบางช่วงเวลาของวัน อาจไม่เห็นผลชัดเจนในแง่ของการลดน้ำหนัก เพราะหนูหลายตัวก็ยังมีน้ำหนักเท่าเดิม แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คืออายุขัยของมันยืนยาวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดในการศึกษากับมนุษย์ เพราะเราไม่สามารถศึกษาอายุของมนุษย์ได้จนสิ้นอายุขัยหรือจำกัดให้มนุษย์อยู่แต่ในห้องปฏิบัติการและกินอาหารที่วัดแคลอรี่ได้ตลอดชีวิต
.
แต่การวิจัยหลายทศวรรษที่ผ่านมา ก็พบว่าการจำกัดแคลอรี่ ช่วยยืดอายุขัยของสัตว์ตั้งแต่แมลงวันไปจนถึงหนู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้จริง การทดลองเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการจำกัดแคลอรี่และรับประทานเพียงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง นำมาซึ่งการลดน้ำหนัก ระดับน้ำตาลที่ดีขึ้น ความดันโลหิตลดลง ทั้งยังช่วยลดการอักเสบของเซลล์ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งความชรา นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ให้ข้อสรุปว่า การลดแคลอรี่เพียงเล็กน้อย "มีประโยชน์อย่างมาก" ในการยืดอายุและคงความเยาว์วัย
 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-IF_aw%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

กำหนดเวลาอาหาร ช่วยยืดอายุขัย
ทากาฮาชิ อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างการอดอาหารและการจำกัดแคลอรี่กับอายุที่ยืนยาว ว่า เมื่อสัตว์อายุมากขึ้น ยีนที่เชื่อมโยงกับการอักเสบมีแนวโน้มที่จะทำงานมากขึ้น ในขณะที่ยีนซึ่งควบคุมการเผาผลาญอาหารจะทำงานน้อยลง ดังนั้น การจำกัดแคลอรี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลาที่หนูมีการเคลื่อนไหวในตอนกลางคืน จึงช่วยชดเชยการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเหล่านี้ได้ เมื่อหนูมีอายุมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ราฟาเอล เดอ คาโบ (Rafael de Cabo) นักวิจัยด้านอายุรศาสตร์ก็กล่าวถึงการทดลองชุดนี้ว่า เป็นการทดลองที่ดีมากและทำให้เห็นว่าแม้ว่าเราจะจำกัดแคลอรี แต่หากไม่ได้รับประทานอาหารในเวลาที่เหมาะสมก็จะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่ เช่นนี้แล้วการปล่อยให้ร่างกายได้หิวบ้าง จึงมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/05/yh-senior-IF_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

พี่ๆ รู้แบบนี้แล้วก็ลองจัดตารางให้ตัวเองดู เอาที่สามารถทำได้โดยไม่ลำบากนัก โดยเลือกเวลารับประทานอาหารในช่วงที่เราเคลื่อนไหวบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานในเวลากลางคืน ที่สำคัญคือ การก้าวผ่านความหิวเล็กน้อยช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จะยิ่งทำให้เราอร่อยและเพลิดเพลินกับการรับประทานมื้อต่อไปมากขึ้นแถมยังช่วยแก้ปัญหาภาวะเบื่ออาหารได้อีกด้วย อย่าลืมว่าสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องเริ่มที่ตัวเอง 
 
<a href="https://www.sciencedaily.com/releases/2022/05/220505143753.htm" target="_self"><ins>https://www.sciencedaily.com/releases/2022/05/220505143753.htm</ins></a>

ยิ่งหิว ยิ่งแข็งแรง ยิ่งชะลอวัย การทดลองใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น!

ระวัง ! ‘ท้องร่วง-อาหารเป็นพิษ’ โรคฮิตติดหน้าร้อน

ยุคนี้ ใครเริ่มดูแลตัวเองก่อน ชนะ! เพราะการดูแลสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีกายและใจพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกๆ วัน 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายิ่งอายุมากขึ้น สุขภาพก็ยิ่งถดถอยลง ปัญหาต่างๆ ก็เริ่มแสดงอาการออกมาให้เห็น ร่างกายที่ไม่เคยปวดก็ปวด โรคต่างๆ ก็เริ่มถามหา 
 ยังแฮปปี้จึงขอชวนพี่ๆ เริ่มต้นดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยภารกิจที่จะทำให้พี่ๆ แข็งแรงครบทั้ง 6 ด้านสำคัญ ตามหลักโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมวัยในทุกส่วนของร่างกาย โลกจะหมุนเร็วแค่ไหน จะอายุเท่าไรก็ยังเก๋าอยู่ <img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%207.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/> 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%207.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 1. เพิ่มกล้ามเนื้อ ด้วยโปรตีนคุณภาพสูง เช่น โปรตีนเวย์ 
กล้ามเนื้อเป็นส่วนสำคัญกับการเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้ากล้ามเนื้อของพี่ๆ แข็งแรง ก็จะทำให้พี่ๆ เดินเหินคล่องแคล่ว หรือจะวิ่งก็ยังไหวไม่แพ้หนุ่มสาว วิธีเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ทำได้ด้วยการรับประทานโปรตีนให้เพียงพอในทุกวัน ยิ่งเสริมด้วยโปรตีนเวย์ ซึ่งเป็นโปรตีนที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่าชนิดอื่น ก็จะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อของพี่ๆ แข็งแรง คล่องแคล่วสมวัย 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%208.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 2. รักษากระดูกและไขข้อ ด้วย แคลเซียมและวิตามินดี 
พี่ๆ ทราบไหมว่า ร่างกายคนไทยส่วนใหญ่มีวิตามินดีต่ำ เพราะมักจะชอบหลบแดดไปอยู่ในที่ร่ม ทั้งๆ ที่วิตามินดีและแคลเซียมคือส่วนประกอบสำคัณที่อยู่ในกระดูกและไขข้อต่างๆ ของเรา เพราะฉะนั้นถ้าเรารับประทานแคลเซียมและได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ กระดูกและไขข้อของเราก็จะยิ่งไม่แข็งแรง เป็นที่มาของ อาการปวดข้อต่างๆ โดยเฉพาะข้อเข่า และยังมีโอกาสที่กระดูกจะเปราหักง่าย 
นอกจากแคลเซียมและวิตามินดีที่ช่วยเรื่องกระดูกและข้อแล้ว คอลลาเจนก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยร่างกายจะสะสมคอลลาเจนตามเนื้อเยื่อบริเวณกระดูกอ่อนและเส้นเอ็นเพื่อความยืดหยุ่น แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนที่สะสมอยู่ในร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ การกินโปรตีนและคอลลาเจนให้เพียงพอในทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายมีวัตถุดิบไปซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนใหม่ๆ มาทดแทนได้ 
หากพี่ๆ อยากมีกระดูกและไขข้อที่แข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย ห่างไกลข้อเสื่อม เริ่มได้จากรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ พร้อมทั้งเสริมคอลลาเจนควบคู่ มีผลวิจัยหลายฉบับที่บอกว่า การเสริมคอลลาเจนรูปแบบโมเลกุลเล็ก จะช่วยกระตุ้นสร้างคอลลาเจนในร่างกาย รู้แบบนี้แล้วอย่ารอช้า เติมแคลเซียม วิตามินดีและคอลลาเจนให้ร่างกายเพื่อกระดูกและไขข้อที่แข็งแรง 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%209.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ด้วย โปรไบโอติกส์ และวิตามินที่หลากหลาย 
พี่ๆ คงเคยได้ยินมาบ้างว่า หากจะเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ให้เสริมด้วยวิตามินซีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ร่างกายต้องการวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน A, B6, B12, C, D, กรดโฟลิค, เหล็ก, สังกะสี, ทองแดง, ซีลีเนียม หากภูมิคุ้มกันไม่ดี พี่ๆ ก็จะเจ็บป่วยได้ง่าย การเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายจึงสำคัญมาก นอกจากวิตามินและแร่ธาตุดังกล่าวแล้ว ‘โปรไบโอติกส์’ จุลินทรีย์ตัวสำคัญที่มีงานวิจัยพบว่าช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้มีประสิทธิภาพก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ไม่กลัวโรค <img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%2010.png" alt="undefined" style="height: 650px;width: auto"/>
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%2010.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

4. บำรุงระบบประสาทและสมอง ด้วยวิตามินแร่ธาตุที่เหมาะสม 
ยิ่งอายุมาก ความจำก็ไม่ค่อยจะดี จะคิดอะไรก็ช้าไปหมด เพราะระบบประสาทและสมองเริ่มเสื่อมลงตามธรรมชาติ อย่าปล่อยธรรมชาติหยุดเรา พี่ๆ สามารถซ่อมแซมระบบประสาทและสมอง ให้ทำงานได้ดีขึ้นชะลอการเสื่อมตามวัย ด้วยการรับประทานสารอาหารจำพวก วิตามิน B1, B2, B6, B12, C, D, ไนอะซิน, ไบโอติน, ไอโอดีน, แมกนีเซียม, ทองแดง, โพแทสเซียมให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ระบบประสาทและสมองของพี่ๆ ก็จะทำงานได้ดียิ่งขึ้น 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%2011.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

5. ดูแลระบบขับถ่าย ด้วยใยอาหารที่เพียงพอและหลากหลาย&nbsp;
สมดุลระบบขับถ่าย ใครบอกว่าไม่สำคัญ หากลำไส้ไม่แข็งแรง ระบบขับถ่ายไม่ดี ก็จะเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมากมาย จึงต้องรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยใยอาหารที่หลากหลาย เพื่อสร้างตัวช่วยให้กับลำไส้ กระตุ้นการขับถ่ายให้ปกติ ดูดซับไขมันหรือน้ำตาลส่วนเกินจากอาหารที่พี่ๆ ทานไปในแต่ละวันและเสริมด้วยจุลินทรีย์สุขภาพโปรไบโอติกส์ ที่จะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ที่ดียับยั้งจุลินทรีย์ชนิดไม่ดีไม่ให้เติบโตอีกด้วย 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/04/yh-senior-nestle-healthy6_aw%20copy%2012.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

6. เติมไขมันชนิดดี เพื่อร่างกายที่แข็งแรง เช่น ไขมันมูฟ่า (MUFA)&nbsp;
ได้ยินว่า ‘ไขมัน’ พี่ๆ หลายคนคงส่ายหน้าหนี แต่ใช่ว่าไขมันทุกชนิด จะมีโทษต่อร่างกาย ยังมีไขมันบางชนิด เช่น โอเมก้า 3,ไขมันมูฟ่า ที่เป็นไขมันดี หากพี่ๆ เลือกรับประทานไขมันดีก็จะยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น ไขมันมูฟ่า (MUFA) ที่มีงานวิจัยพบว่าช่วยลดโคเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดีและหากรับประทานเป็นประจำ นอกจากจะช่วยคุมโคเลสเตอรอลแล้วยังคุมความดัน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้อีกด้วย เห็นไขมันก็อย่าเพิ่งวิ่งหนี เลือกเสริมไขมันดีเพื่อร่างกายที่แข็งแรง 
อย่ายอมให้กาลเวลาหยุดสุขภาพของเรา มาเป็นวัยเก๋ายุคใหม่ ใส่ใจสุขภาพให้แข็งแรงครบทั้ง 6 ด้าน ที่เริ่มง่ายๆ จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน หลายหลายและเพียงพอในทุกๆ วัน แต่การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์สร้างความแข็งแรงให้ร่างกายครบทั้ง 6 ด้านทุกมื้อตามหลักโภชนาการ ก็อาจจะไม่สะดวกสำหรับพี่ๆ หลายคน เพียงพี่ๆ มองหาอาหารสูตรครบถ้วน ที่มีการพัฒนาอาหารตามหลัก ‘อาหารทางการแพทย์’ เสริมในแต่ละมื้ออาหารก็ทำให้แต่ละมื้อของพี่ๆ กลายเป็นมื้อสุขภาพไม่ยากเลย 
สนใจผลิตภัณฑ์คลิกที่นี่ 
<a href="https://bit.ly/34rabcj" target="_self">https://bit.ly/34rabcj </a> 
ที่มา: · <a href="https://www.nestlehealthscience-th.com/health-management/aging/Complete%206" target="_self">ยุคนี้วัย 50+ ต้องดูแลสุขภาพแข็งแรงครบ 6 ด้านสำคัญ | Nestle Health Science</a> <a href="https://www.nestlehealthscience-th.com/health-management/aging/Complete%206" target="_self">(nestlehealthscience-th.com)</a>&nbsp;
 · https://bit.ly/3Ktd2kh 
 · <a href="https://www.nestlehealthscience-th.com/health-management/aging/Boost_Collagen_3_Beauty" target="_self">สวยไม่แคร์วัย ครบ 3 เป๊ะด้วยอาหาร (nestlehealthscience-th.com)</a>&nbsp;
&nbsp;

แข็งแรงให้ครบ 6 ด้าน ภารกิจวัยเก๋ายุคใหม่ใส่ใจสุขภาพ 

เชื่อว่าที่บ้านของพี่ๆ หลายคนจะต้องมีตู้ยา หรือมุมยาสามัญประจำบ้านกันทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่า สุขภาพร่างกายของเราจะเจ็บป่วยขึ้นมาวันไหน จะปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบาย หรือเผชิญแมลงสัตว์ กัดต่อย เมื่อไร
 
การมียาสามัญประจำบ้านติดไว้ คงจะช่วยให้อุ่นใจไม่น้อย แต่เอ๊ะ! พี่ๆ ได้เช็คดูบ้างหรือเปล่าว่า ยาที่อยู่ในตู้ของเรา เก็บไว้นานแค่ไหนแล้ว เพราะยิ่งนาน ยาจะยิ่งเสื่อมสภาพ และอาจถึงวันหมดอายุได้
 
ยังแฮปปี้จะพาพี่ๆ ไปเปิดตู้ยา สำรวจกันหน่อยว่า ถึงเวลาโบกมือลายาตัวไหนบ้าง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหมดอายุ อันตรายอย่างไร 
ถึงจะเป็นยารักษาโรค แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ หากหมดอายุ แม้ยาจะมีกระบวนการผลิตที่ดี แต่คุณภาพของยาไม่ได้คงอยู่ตลอด เพราะยาแต่ละชนิด มีสารคงตัวแตกต่างกัน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร คุณภาพของยาก็จะยิ่งลดลงตามลำดับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องระบุวันหมดอายุ
 
ซึ่งวันหมดอายุของยาแต่ละชนิดนั้น พี่ๆ สามารถสังเกตได้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ของยา โดยมักจะระบุเป็นภาษาไทยว่า ยาสิ้นอายุ และตามด้วยวันที่ หรือภาษาอังกฤษ ว่า  Exp. หรือ Exp. Date เช่น ยาสิ้นอายุ 2/9/2571 หรือ  Exp. 2/9/2028   แปลว่า ยาชนิดนี้จะหมดอายุในวันที่ 
2 เดือนกันยายน ปี พ.ศ 2571
 
ยาที่หมดอายุบางชนิดจะเปลี่ยนสภาพจาก ยารักษาโรค กลายเป็นยาพิษและส่งผลร้ายต่อ
ผู้ใช้ได้ เพราะฉะนั้นการใช้ยาที่หมดอายุ นอกจากจะเจอยาที่เสื่อมคุณภาพ ไม่มีผลต่อการรักษาแล้ว ยังมีอันตรายต่อชีวิตด้วย
 
ยาที่เปิดใช้แล้ว มีอายุเท่าไร
ยาบางชนิดอาจไม่ได้บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ หรือถ้าซื้อจากร้านขายยา เภสัชกรก็จะแบ่งขายให้ แบบนี้จะรู้ได้อย่างไรว่ายาหมดอายุแล้ว แค่ลองสังเกตง่ายๆ ดังนี้ 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาเม็ดทั่วไป เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ไม่ว่าจะเป็นเม็ดรูปทรงกลม ทรงรี หรือทรงไหนก็ตาม หากไม่ได้ระบุวันหมดอายุ จะเก็บได้ไม่เกิน 1 ปี และถ้าสังเกตแล้วพบว่าเม็ดยามีลักษณะเยิ้ม แตก ชื้น บิ่นหรือว่าเปลี่ยนสี ทิ้งได้เลยไม่ต้องรอจนครบ 1 ปี 
 
ยาเม็ดชนิดแคปซูล มีอายุการเก็บรักษาไม่เกิน 1 ปี เช่นเดียวกับยาเม็ด แต่ถ้าเม็ดยาแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีแคปซูลเปลี่ยนไป ก็แปลว่าถึงเวลาต้องทิ้ง 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาน้ำที่มีตะกอนเล็กน้อย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาน้ำแผนโบราณ ยาน้ำสตรี ยาธาตุ ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากเปิดใช้ และต้องสังเกตว่ามี สี กลิ่น รสเปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อเขย่าขวดแรงๆ ยาจะต้องกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน หากไม่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือตะกอนเกาะกันแน่นก็แปลว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
 
 
ยาน้ำที่เป็นน้ำใส เช่น ยาน้ำขับลมเด็ก หรือยาน้ำเชื่อม หากพบว่ามีตะกอนหรือขุ่น เหมือนมีเยื่อเบาๆ ลอยอยู่ หรือกลิ่น สี รส เปลี่ยนไป แสดงว่ายาเสื่อมสภาพหรือเสียแล้วให้ทิ้งทันที และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน
 
ยาชนิดผงละลายน้ำ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เมื่อเสื่อมคุณภาพ ผงยาจะจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ไม่สามารถละลายน้ำได้ หรือบนภาชนะที่บรรจุจะมีไอน้ำ หรือหยดน้ำเกาะ ยาประเภทนี้
เมื่อผสมน้ำแล้ว มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก คือ ไม่เกิน 7 วันในอุณหภูมิห้อง และ 14 วันหากแช่ตู้เย็น 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหยอดตา ยาป้ายตา หลังเปิดใช้จะมีอายุเพียง 1 เดือนเท่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าเก็บไว้เกินหนึ่งเดือน นำไปทิ้งได้เลย แต่ อย่าลืมดูด้วยว่า มีสารกันเสียผสมอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่มีสารกันเสียผสมอยู่ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 วัน ! 
 
ขี้ผึ้ง หรือยาชนิดครีม ยายอดฮิตติดบ้าน ไม่ว่าจะเป็นยาหม่อง บาล์ม ขี้ผึ้งแก้พิษแมลง หรือยานวดชนิดต่างๆ ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน หรือถ้าตัวยาเริ่มแยกชั้น มีสี เนื้อสัมผัส ความหนืด เปลี่ยนไป หรือมีของเหลวไหลออกมาเยิ้มที่ผิวหน้าของยา และมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เป็นสัญญาณว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
 
ยาชนิดเจลใส นอกจากไม่ควรเก็บไว้เกิน 6 เดือนแล้ว หากพบว่าเนื้อเจลที่เคยใส กลายเป็นเนื้อขุ่น และเนื้อยาไม่เกาะเป็นเนื้อเดียวกันแปลว่ายาเสื่อมคุณภาพ ในกรณีเจลแอลกฮอล์
ที่ทุกบ้านต้องมี เก็บไว้ได้นานถึง 3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ แต่ถ้าเปิดใช้แล้ว ควรรีบใช้ภายใน 
3 เดือน
 
 
อันที่จริง ไม่ใช่แค่วันหมดอายุเท่านั้นที่มีผลต่ออายุการใช้งาน การจัดเก็บยาก็มีผลเช่นกัน 
โดยเฉพาะยาที่ไวต่อ แสง อุณหภูมิ ความชื้น หากเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ยาจะเสื่อมสภาพหรือมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ก่อนวันหมดอายุ เพราะฉะนั้นก่อนใช้ยาอะไรก็ตาม สละเวลาสำรวจวันหมดอายุและสังเกตลักษณะของยาสักนิด ตัดใจทิ้ง ไม่ต้องเสียดาย หากพบว่ายาเสื่อมคุณภาพ “เก่าไม่เก็บ” เพื่อความปลอดภัยของทุกคน 
 
 
อ้างอิง
<a href="https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402" target="_blank">https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402</a> 
<a href="http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31" target="_self">http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31</a>

ยาสามัญคู่บ้าน เก็บได้นานแค่ไหนกันนะ

เชื่อว่าที่บ้านของพี่ๆ หลายคนจะต้องมีตู้ยา หรือมุมยาสามัญประจำบ้านกันทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้เลยว่า สุขภาพร่างกายของเราจะเจ็บป่วยขึ้นมาวันไหน จะปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบาย หรือเผชิญแมลงสัตว์ กัดต่อย เมื่อไร
 
การมียาสามัญประจำบ้านติดไว้ คงจะช่วยให้อุ่นใจไม่น้อย แต่เอ๊ะ! พี่ๆ ได้เช็คดูบ้างหรือเปล่าว่า ยาที่อยู่ในตู้ของเรา เก็บไว้นานแค่ไหนแล้ว เพราะยิ่งนาน ยาจะยิ่งเสื่อมสภาพ และอาจถึงวันหมดอายุได้
 
ยังแฮปปี้จะพาพี่ๆ ไปเปิดตู้ยา สำรวจกันหน่อยว่า ถึงเวลาโบกมือลายาตัวไหนบ้าง เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหมดอายุ อันตรายอย่างไร&nbsp;
ถึงจะเป็นยารักษาโรค แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้ หากหมดอายุ แม้ยาจะมีกระบวนการผลิตที่ดี แต่คุณภาพของยาไม่ได้คงอยู่ตลอด เพราะยาแต่ละชนิด มีสารคงตัวแตกต่างกัน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร คุณภาพของยาก็จะยิ่งลดลงตามลำดับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องระบุวันหมดอายุ
 
ซึ่งวันหมดอายุของยาแต่ละชนิดนั้น พี่ๆ สามารถสังเกตได้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ของยา โดยมักจะระบุเป็นภาษาไทยว่า ยาสิ้นอายุ และตามด้วยวันที่ หรือภาษาอังกฤษ ว่า  Exp. หรือ Exp. Date เช่น ยาสิ้นอายุ 2/9/2571 หรือ  Exp. 2/9/2028   แปลว่า ยาชนิดนี้จะหมดอายุในวันที่&nbsp;
2 เดือนกันยายน ปี พ.ศ 2571
 
ยาที่หมดอายุบางชนิดจะเปลี่ยนสภาพจาก ยารักษาโรค กลายเป็นยาพิษและส่งผลร้ายต่อ
ผู้ใช้ได้ เพราะฉะนั้นการใช้ยาที่หมดอายุ นอกจากจะเจอยาที่เสื่อมคุณภาพ ไม่มีผลต่อการรักษาแล้ว ยังมีอันตรายต่อชีวิตด้วย
 
ยาที่เปิดใช้แล้ว มีอายุเท่าไร
ยาบางชนิดอาจไม่ได้บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ หรือถ้าซื้อจากร้านขายยา เภสัชกรก็จะแบ่งขายให้ แบบนี้จะรู้ได้อย่างไรว่ายาหมดอายุแล้ว แค่ลองสังเกตง่ายๆ ดังนี้&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาเม็ดทั่วไป เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ไม่ว่าจะเป็นเม็ดรูปทรงกลม ทรงรี หรือทรงไหนก็ตาม หากไม่ได้ระบุวันหมดอายุ จะเก็บได้ไม่เกิน 1 ปี และถ้าสังเกตแล้วพบว่าเม็ดยามีลักษณะเยิ้ม แตก ชื้น บิ่นหรือว่าเปลี่ยนสี ทิ้งได้เลยไม่ต้องรอจนครบ 1 ปี&nbsp;
 
ยาเม็ดชนิดแคปซูล มีอายุการเก็บรักษาไม่เกิน 1 ปี เช่นเดียวกับยาเม็ด แต่ถ้าเม็ดยาแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีแคปซูลเปลี่ยนไป ก็แปลว่าถึงเวลาต้องทิ้ง&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%202.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาน้ำที่มีตะกอนเล็กน้อย เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาน้ำแผนโบราณ ยาน้ำสตรี ยาธาตุ ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากเปิดใช้ และต้องสังเกตว่ามี สี กลิ่น รสเปลี่ยนไปหรือไม่ เมื่อเขย่าขวดแรงๆ ยาจะต้องกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน หากไม่เป็นเนื้อเดียวกัน หรือตะกอนเกาะกันแน่นก็แปลว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
&nbsp;
 
ยาน้ำที่เป็นน้ำใส เช่น ยาน้ำขับลมเด็ก หรือยาน้ำเชื่อม หากพบว่ามีตะกอนหรือขุ่น เหมือนมีเยื่อเบาๆ ลอยอยู่ หรือกลิ่น สี รส เปลี่ยนไป แสดงว่ายาเสื่อมสภาพหรือเสียแล้วให้ทิ้งทันที และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน
 
ยาชนิดผงละลายน้ำ เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด เมื่อเสื่อมคุณภาพ ผงยาจะจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง ไม่สามารถละลายน้ำได้ หรือบนภาชนะที่บรรจุจะมีไอน้ำ หรือหยดน้ำเกาะ ยาประเภทนี้
เมื่อผสมน้ำแล้ว มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก คือ ไม่เกิน 7 วันในอุณหภูมิห้อง และ 14 วันหากแช่ตู้เย็น&nbsp;

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2022/03/yh-senior-medicine_aw%20copy%203.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ยาหยอดตา ยาป้ายตา หลังเปิดใช้จะมีอายุเพียง 1 เดือนเท่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าเก็บไว้เกินหนึ่งเดือน นำไปทิ้งได้เลย แต่ อย่าลืมดูด้วยว่า มีสารกันเสียผสมอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะหากไม่มีสารกันเสียผสมอยู่ ควรใช้ให้หมดภายใน 1 วัน ! 
&nbsp;
ขี้ผึ้ง หรือยาชนิดครีม ยายอดฮิตติดบ้าน ไม่ว่าจะเป็นยาหม่อง บาล์ม ขี้ผึ้งแก้พิษแมลง หรือยานวดชนิดต่างๆ ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน หรือถ้าตัวยาเริ่มแยกชั้น มีสี เนื้อสัมผัส ความหนืด เปลี่ยนไป หรือมีของเหลวไหลออกมาเยิ้มที่ผิวหน้าของยา และมีกลิ่นเหม็นหืน ก็เป็นสัญญาณว่ายาเสื่อมคุณภาพแล้ว
 
ยาชนิดเจลใส นอกจากไม่ควรเก็บไว้เกิน 6 เดือนแล้ว หากพบว่าเนื้อเจลที่เคยใส กลายเป็นเนื้อขุ่น และเนื้อยาไม่เกาะเป็นเนื้อเดียวกันแปลว่ายาเสื่อมคุณภาพ ในกรณีเจลแอลกฮอล์
ที่ทุกบ้านต้องมี เก็บไว้ได้นานถึง 3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ แต่ถ้าเปิดใช้แล้ว ควรรีบใช้ภายใน&nbsp;
3 เดือน
 
 
อันที่จริง ไม่ใช่แค่วันหมดอายุเท่านั้นที่มีผลต่ออายุการใช้งาน การจัดเก็บยาก็มีผลเช่นกัน&nbsp;
โดยเฉพาะยาที่ไวต่อ แสง อุณหภูมิ ความชื้น หากเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ยาจะเสื่อมสภาพหรือมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ก่อนวันหมดอายุ เพราะฉะนั้นก่อนใช้ยาอะไรก็ตาม สละเวลาสำรวจวันหมดอายุและสังเกตลักษณะของยาสักนิด ตัดใจทิ้ง ไม่ต้องเสียดาย หากพบว่ายาเสื่อมคุณภาพ “เก่าไม่เก็บ” เพื่อความปลอดภัยของทุกคน&nbsp;
 
 
อ้างอิง
<a href="https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402" target="_blank">https://oryor.com/%E0%B8%AD%E0%B8%A2/detail/media_printing/1402</a>&nbsp;
<a href="http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31" target="_self">http://med.swu.ac.th/msmc/pharmacy/index.php/news-menu/233-2017-04-10-03-47-31</a>&nbsp;