“ปวดหลังอีกแล้ว”
“ไม่อยากยืนนานๆ ปวดหลัง”
“ปวดหลังจัง ขอยืดเส้นยืดสายหน่อย” 
เชื่อว่านี่คือหนึ่งในประโยคที่พี่ๆ ผู้สูงอายุหลายคนมักจะติดปากพูดอยู่บ่อยๆ เพราะอาการปวดหลัง เรียกว่าเป็นอาการสามัญประจำวัยก็ว่าได้ โดยมากมักจะเกิดขึ้นตามอายุที่มากขึ้น 
<h2>ถึงแม้อาการปวดหลังจะเป็นอาการทั่วไป แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ควรต้องรีบหาทางรักษาโดยด่วน เพราะจากแค่ปวดหลัง ก็อาจลามไปปวดใจได้ ยังแฮปปี้มาชวนพี่ๆ หาเหตุผลว่าทำไม สูงวัยต้องไม่มองข้ามอาการปวดหลัง </h2>
ทำไมอายุมาก ถึงต้องปวดหลัง
ภาวะการเสื่อมของกระดูกสันหลัง คือภาวะปกติที่เกิดขึ้นปกติตามช่วงวัย ซึ่งอาจเกิดจากโครงสร้างทางพันธุกรรมของแต่ละคนที่แข็งแรงไม่เท่ากัน รวมไปถึงพฤติกรรมอย่างการยกของหนักบ่อยๆ หรือนั่งท่าเดิมนานๆ ก็เป็นสาเหตุได้ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ทำให้กระดูกสันหลัง มีกระดูกงอกมากดทับเส้นประสาท มีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ทำให้เส้นประสาทที่หลังได้รับการกระทบกระเทือน อันเป็นสาเหตุของการปวดหลังนั่นเอง 
ปวดหลัง ทำไมต้องระวังปวดใจ
แม้ว่าอาการปวดหลัง จะไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจโดยตรง แต่อาการปวดหลังจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น เวลาจะทำอะไร ต้องทนต่ออาการปวดหลัง ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้เจ็บปวด หรือนอนไม่หลับเพราะอาการปวด แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ ส่งผลต่อสุขภาพใจและเป็นทุกข์ เพราะต้องคอยกังวลต่ออาการปวด จะทำกิจกรรมต่างๆ ก็ไม่ได้เต็มที่ และนำไปสู่ภาวะเครียดได้นั่นเอง 
ปวดหลังแล้วทำยังไงดี
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอาการปวดหลัง คือการออกกำลังกายและหมั่นเคลื่อนไหวตัวเองอย่างสม่ำเสมอ พยายามไม่นั่งหรืออยู่ท่าเดิมนานๆ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก รวมไปถึงการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก 
ส่วนวิธีการรักษาอาการปวดหลังเบื้องต้น สามารถกินยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดได้ และการประคบร้อน-เย็น จะช่วยลดอาการปวดได้ แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เพื่อทำการรักษาด้วยการกายภาพบำบัด หรือถ้าหากเป็นเรื้อรัง แพทย์ก็อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาด 
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าปล่อยให้อาการปวดหลัง ลามไปจนถึงขั้นปวดใจนะคะ 
อ้างอิง
<a href="https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=525" target="_self"><ins>https://www.si.mahidol.ac.th/th/tvdetail.asp?tv_id=525</ins></a>
<a href="https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/spondylosis-2" target="_self"><ins>https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/spondylosis-2</ins></a>
<a href="https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8---%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87" target="_self"><ins>https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8---%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87</ins></a>

ปวดหลัง ระวังปวดใจ!!? หาเหตุผลว่าทำไม สูงวัยต้องไม่มองข้ามอาการปวดหลัง

<h2>ช่วงนี้พี่ๆ หลายคนน่าจะได้ยินข่าวคนดังในวงการต่างๆ ต้องจากไปอย่างกระทันหัน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีสุขภาพดีและดูแลตัวเองอยู่ตลอด แต่กลับต้องมาเสียชีวิตจาก ‘ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน’ เป็นภาวะผิดปกติของการทำงานหัวใจที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และสาเหตุเกิดจากสุขภาพโดยรวมที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน </h2>
ยังแฮปปี้จึงอยากชวนพี่ๆ ผู้สูงอายุ ทำความรู้จักกับภาวะนี้อย่างเข้าใจ และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย 
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน คืออะไร
ในทางการแพทย์ เรียกอย่างเป็นทางการว่า หัวใจขาดเลือด (Heart Attack) อาการคือเส้นเลือดที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจ เกิดการอุดตันหรือมีเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ส่งผลให้กล้ามเนื้่อหัวใจค่อยๆ ตาย ทำให้เกิดอาการที่สังเกตได้ชัดเจน คือมีอาการเจ็บหน้าอกฉับพลัน มีเหงื่อออก หายใจถี่ หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าอาการเหล่านี้ จู่ๆ ก็เกิดขึ้นทันที โดยที่ผู้ป่วยและคนรอบข้างไม่ทันตั้งตัว และมีโอกาสเสียชีวิตสูงมากๆ 
ใครที่เสี่ยงต่อ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน 
อย่างที่่กล่าวไปว่า ภาวะนี้เป็นภัยเงียบที่เกิดจากการสะสมเป็นเวลานาน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันสูง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่เกิดการสั่งสมให้เส้นเลือดเกิดการตีบตัน แข็งตัว หรืออุดตัน และอีกกลุ่ม คือกลุ่มที่ภายนอกมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ภายในของเส้นเลือดหัวใจ อาจะมีการตีบตันหรือมีไขมันเกาะอยู่เล็กน้อย แต่จู่ๆ เกิดการแตกหรือปริจากด้านในหลอดเลือดแบบฉับพลันทันที 
ป้องกัน ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน อย่างไร
การป้องกันภาวะดังกล่าว จริงๆ แล้วไม่ต่างอะไรกับการดูแลสุขภาพทั่วไป นั่นคือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารรสจัดและมีไขมันสูง หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่สูบบุหรี่ แต่ประเด็นสำคัญคือการตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำทุกปี ด้วยการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST) หรือ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echo) เพื่อสำรวจการทำงานของเส้นเลือดหัวใจว่ายังทำงานได้ปกติไหม เมื่อพบว่ามีความผิดปกติ ก็ควรทำการรักษาอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัดตามคำแนะนำของคุณหมอนั่นเอง 
ส่วนแนวทางป้องกันไม่ให้เสียชีวิต เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง เหงื่อออก หายใจถี่ หน้ามืด ชีพจรเต้นเร็ว ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หรือโทร.1669 สายด่วนเจ็บป่วยฉุกเฉิน เพราะยิ่งถึงมือหมอเร็วเท่าไร ก็ยิ่งยับยั้งความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจ และมีโอกาสรอดชีวิตได้มากเท่านั้น 

อ้างอิง
<a href="https://www.bch.in.th/heart-attack-article/" target="_self"><ins>https://www.bch.in.th/heart-attack-article/</ins></a>
<a href="https://bpk9internationalhospital.com/care_blog/content/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95" target="_self"><ins>https://bpk9internationalhospital.com/care_blog/content/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%99%20%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95</ins></a>

สูงวัยระวัง! ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน คร่าชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว

<h2>‘ผัก’ คืออาหารสุดวิเศษที่เต็มไปด้วยกากใยและวิตามินมากมาย ควรจะกินเป็นประจำในทุกๆ มืออาหาร </h2>
คือภาพจำที่ทุกคนรับรู้เกี่ยวกับอาหารชนิดนี้ แต่ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ เพราะรู้หรือไม่ว่า ในผักบางชนิด กลับมีสารอาหารอย่าง ‘แป้งหรือคาร์โบไฮเดรต’ ที่มากเกินไป โดยปกติ ผู้สูงอายุต้องการคาร์โบไฮเดรต ไม่เกิน 45-65 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ร่างกายได้รับต่อวัน หรือประมาณ 200-300 กรัมต่อวันเท่านั้น การกินแป้งมากเกินไป ก็อาจทำให้ได้รับพลังงานที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาล จนอาจทำให้เกิดภาวะอ้วนได้ 
มาดูกันว่า ผักชนิดไหน ที่มีแป้งมากเกินจำเป็น และวัยเก๋าต้องกินอย่างพอเหมาะที่สุด 
ข้าวโพด
แม้ว่าข้าวโพดจะมีประโยชน์จากวิตามินเอ และใยอาหารที่ช่วยในเรื่องการขับถ่าย แต่อย่างที่ทราบกันว่า ข้าวโพดคือวัตถุดิบอย่างหนึ่งในการทำเป็นแป้งที่ใช้ประกอบอาหาร และยังสามารถนำไปทำเป็นขนมขบเคี้ยวที่ให้พลังงานสูง อย่างเช่นข้าวเกรียบหรือป๊อปคอร์นอีกด้วย โดยข้าวโพด 100 กรัม ให้พลังงาน 117 กิโลลเเคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรตมากถึง 17.40 กรัมเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกกินข้าวโพดแต่พอดี 
เผือก
ถือเป็นผักอีกหนึ่งชนิด ที่หลายคนมักนะไปใส่ในสลัด เพื่อทดแทนคาร์โบไฮเดรตจากข้าว แต่รู้หรือไม่ว่าเผือกให้พลังงานมากกว่าข้าวเสียอีก โดยเผือก 100 กรัม ให้พลังงาน 119 กิโลแคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรตมากถึง 34.60 กรัม จึงควรเลือกกินแต่พอดี ให้ได้รับสารอาหารจากเผือก ทั้ง แคลเซียม โปแตสเซียม วิตามินบี 1 วิตามินซี โปรตีน และธาตุเหล็ก 
มันเทศ
ผักที่นิยมนำมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวาน โดยเฉพาะของหวานอย่างเช่น มันเทศเชื่อม มันเทศแกงบวด ซึ่งแน่นอนว่ามีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ยิ่งมีวัตถุดิบหลักเป็นมันเทศ ที่ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรตมากถึง 20 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม เรียกว่าดับเบิ้ลสารอาหารที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนอย่างมากเลยทีเดียว จึงควรกินในปริมาณเล็กน้อย และนานๆ ครั้งเพื่อความอร่อยเท่านั้น 
อ้างอิง
<a href="https://www.thairath.co.th/news/politic/371324" target="_self"><ins>https://www.thairath.co.th/news/politic/371324</ins></a>
<a href="https://women.trueid.net/detail/wX1vvYvkxZj9" target="_self"><ins>https://women.trueid.net/detail/wX1vvYvkxZj9</ins></a>
<a href="https://www.eatingwell.com/article/290784/how-many-carbs-are-in-vegetables/" target="_self"><ins>https://www.eatingwell.com/article/290784/how-many-carbs-are-in-vegetables/</ins></a>

รู้แล้วต้องระวัง! ในผัก (บางชนิด) ก็มีแป้ง กินมากไปก็ทำให้อ้วนได้

สมมติว่ายังแฮปปี้ ขอถามพี่ๆ ตรงๆ ว่า “เป็นคนดื้อไหม” พี่ๆ จะตอบว่าอะไร 
เชื่อว่าคำตอบที่ได้ย่อมแตกต่างกันไปตามลักษณะนิสัยของพี่ๆ แต่ละคน แต่รู้หรือไม่ว่า ‘ความดื้อ’ หรือการรั้นไม่ยอมทำตามคำสั่งต่างๆ เป็นอารมณ์ตามธรรมชาติของมนุษย์เรา ซึ่งช่วงวัยที่แสดงอาการออกมาชัดเจนที่สุด คือวัยเด็กและวัยสูงอายุ 
โดยวัยเด็ก ความดื้อเกิดจากการอยากรู้อยากเห็น อยากลองสำรวจสิ่งต่างๆ รอบตัว จึงทำให้เกิดการดื้อรั้นเพื่อทำการต่างๆ ตามที่ใจต้องการ แต่สำหรับในวัยสูงอายุ ความดื้อเกิดจากประสบการณ์ชีวิตที่มีมาก จึงทำให้อยากทำอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เมื่อมีใครบอกให้ทำอะไร มักจะไม่ยอมทำตาม เพราะเชื่อมั่นในประสบการณ์ของตนเองที่ผ่านมามากกว่า 
และถ้าหาย้อนเวลากลับไป ผู้สูงอายุที่เคยเป็นหัวหน้าครอบครัวมาก่อน หรือเคยดูแลสมาชิกทุกคนในบ้าน เมื่อถึงคราวที่ต้องกลับกลายเป็นผู้ได้รับการดูแลแทน ทำให้รู้สึกกำลังถูกด้อยค่า จึงทำให้อยากต่อต้าน ไม่ยอมรับ หรือดื้อนั่นเอง 
การดื้อ คือต้นเหตุสำคัญของความขัดแย้งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในครอบครัว ถ้าไม่รีบแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจกลายเป็นปมทางจิตใจที่แก้ไขได้ยาก ถ้าพี่ๆ หรือลูกหลานเริ่มรู้สึกถึงความไม่เข้าใจกัน ยังแฮปปี้มีเคล็ดลับดีๆ อยากให้ลองทำตามกัน โดยจะแบ่งออกเป็นเทคนิคสำหรับลูกหลานและพี่ๆ ผู้สูงอายุ ปรับความคิดให้แฮปปี้ไปด้วยกัน 
วิธีแก้ผู้สูงอายุดื้อ สำหรับลูกหลาน
<ul>
<li>ไม่ตามใจจนเกินไป</li>
<li>ใช้คำพูดเพราะๆ</li>
<li>เปิดโอกาสให้ได้ทำอะไรที่อยากทำ</li>
<li>หาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน </li>
</ul>
วิธีแก้ดื้อ สำหรับผู้สูงอายุ
<ul>
<li>วางตัวเองลงบ้าง</li>
<li>เปิดใจรับความคิดเห็นใหม่ๆ</li>
<li>ตามกระแสโลกให้ทัน</li>
<li>หาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน </li>
</ul>
เห็นได้ว่า วิธีแก้ดื้อที่เหมือนกันสำหรับสองช่วงวัย คือการ ‘หาเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน’ เพราะเป็นหนึ่งในทางออก ที่จะทำให้ทั้งฝ่ายมองกันและกันอย่างเข้าใจ เลิก ‘ดื้อ’ แล้วหันกลับมา ‘ดีกัน’ นะจ๊ะ 
อ้างอิง
<a href="https://baanlalisa.com/why-do-some-old-people-get-mean/" target="_self"><ins>https://baanlalisa.com/why-do-some-old-people-get-mean/</ins></a>
<a href="https://www.manoottangwai.com/read/view/generation-gap/" target="_self"><ins>https://www.manoottangwai.com/read/view/generation-gap/</ins></a>

“ทำไมยิ่งแก่ เรายิ่งดื้อ” ย้อนเวลาหาสาเหตุอย่างเข้าใจ ปรับความคิดให้แฮปปี้ไปด้วยกัน

<h2>เชื่อว่าพี่ๆ หลายคน เมื่อก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ ความพยายามในการดูแลตัวเอง ย่อมลดถอยไปตามกาลเวลา ไม่เหมือนตอนหนุ่มสาวที่พยายามทำให้รูปร่างตัวเองดีอยู่เสมอ และยิ่งประกอบกับร่างกายที่ไม่สามารถเผาผลาญพลังงานและไขมันได้ช้าลง การจะกลับไปมีรูปร่างที่ดีสมส่วนก็ยิ่งยากขึ้น หรือมีภาวะ ‘อ้วน’ ง่ายนั่นเอง ซึ่งนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ตั้งแต่ เบาหวาน ความดัน กระดูกข้อเสื่อม และอีกสารพัดโรคจากความอ้วน เกิดเป็นคำถามว่า แก่แล้ว อายุมากแล้ว จะสามารถลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนได้ไหม ยังแฮปปี้ขอยืนยันตรงนี้เลยว่า “ลดได้แน่นอน” แต่อาจจะต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อย เพราะประสิทธิภาพของการทำงานส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการเผาผลาญและการดูดซึมสารอาหารไม่เหมือนเดิม การควบคุมระดับไขมันและน้ำตาลเป็นไปได้ยาก จึงจำเป็นต้องทำอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่มากับความอ้วนให้สำเร็จ วันนี้ยังแฮปปี้ เลยจะมานำเสนอ ‘ยาลดความอ้วน’ แบบที่ไม่ต้องกิน ไม่ต้องอดอาหาร ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ไม่เห็นผลทันที แต่ต้องใช้ ‘ใจและความพยายาม’ ล้วนๆ บอกเลยว่า ลดน้ำหนักได้ เฟิร์มได้ ถ้าใจพร้อม! </h2>
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/07/%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%20aug2-04.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>
 5 เทคนิคลดความอ้วน ทำง่าย ถ้าตั้งใจ 1.กินให้ถึง (ครบ 5 หมู่) 2.ปรุงให้ถูก (ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ) 3.ดื่มให้พอ (น้ำเปล่า 2-3 ลิตร ต่อวัน) 4.ลดให้ได้ (น้ำหวาน แอลกอฮอลล์ อาหารสำเร็จรูป) 5.ออกให้เหนื่อย (ออกกำลังกายเบาๆ ทุกวัน) 
อ้างอิง
<a href="https://allwellhealthcare.com/elderly-weight-loss/" target="_self"><ins>https://allwellhealthcare.com/elderly-weight-loss/</ins></a>
<a href="https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/content-elderly-weight" target="_self"><ins>https://www.princsuvarnabhumi.com/articles/content-elderly-weight</ins></a>

แก่แล้ว ลดความอ้วนได้ไหม? ลดได้ เฟิร์มได้ ถ้าใจพร้อม!

พี่ๆ เคยเป็นไหม ยิ่งอายุมาก ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่พอถึงคราวจะต้องทิ้ง เพราะไม่มีที่จะเก็บแล้ว กลับมีความรู้สึกว่าเสียดาย ตัดใจไม่ได้ ไม่สบายใจที่จะต้องทิ้ง และคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ รู้หรือไม่ว่านี่อาจเป็นอาการเริ่มต้นของ ‘โรคชอบเก็บสะสมสิ่งของ’ หรือ ‘Hoarding Disorder’ ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่งที่ต้องรีบรักษา โดยอาการต่างๆ จะปรากฏ เช่น รู้สึกผูกพันกับสิ่งของ, สบายใจที่จะไม่ทิ้ง, สะสมสิ่งของอย่างไม่เป็นระเบียบ, ห้ามใครแตะต้องสิ่งของ และไม่ชอบให้ใครมาบ้าน เพราะว่าบ้านรก

โดยของส่วนใหญ่ที่เก็บไว้ จะเป็นสิ่งของที่คนอื่นมองว่าไม่มีประโยชน์หรือเป็นขยะ แต่ตนเองกลับมองว่า ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กล่องใส่อาหารพลาสติก ขวดน้ำดื่ม เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมการเก็บของเหล่านี้ จะแตกต่างจากนักสะสม ที่มักเก็บแต่ของมีค่าและมีราคาเท่านั้น

โดยสาเหตุของโรคดังกล่าว เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม และความผิดปกติทางสมอง แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้ป่วยเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพกาย จากการเก็บของไว้ในบ้านมากจนรก กลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ในบ้านได้ และที่่สำคัญคืออาจต่อยอดไปอาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคสมองเสื่อม ไปจนถึงโรคกลัวการเข้าสังคมได้อีกด้วย

ส่วนแนวทางการรักษา สามารถรักษาได้ด้วยการปรึกษาจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใช้ยาที่ปรับสารเคมีในสมอง รวมไปถึงการรักษาด้วยการบำบัดพฤติกรรมและความคิด ซึ่งปัจจัยในการรักษาที่สำคัญที่สุด คือสมาชิกในครอบครัวต้องทำความเข้าใจลักษณะของโรค พูดคุยด้วยความเข้าใจ ไม่ตำหนิ และคอยให้ความช่วยเหลืออย่างค่อยเป็นค่อยไป

ถ้าพี่ๆ คนไหนเริ่มรู้ตัวว่ามีอาการชอบเก็บของจนไม่มีที่จะเก็บ ลองรีบสังเกตอาการและความรู้สึกของตัวเอง ว่าสามารถตัดใจทิ้งของได้ไหม ถ้าตัดใจไม่ได้ ลองรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยด่วนนะคะ 
อ้างอิง
<a href="https://baanlalisa.com/understanding-hoarding-disorder-in-seniors/" target="_self"><ins>https://baanlalisa.com/understanding-hoarding-disorder-in-seniors/</ins></a>
<a href="https://www.thereporters.co/feature/n1612221834/" target="_self"><ins>https://www.thereporters.co/feature/n1612221834/</ins></a>

อยากเก็บของทุกอย่างไว้ ระวัง! เป็นโรคชอบสะสมของ

นาทีนี้ เชื่อว่าคงไม่มีอาหารประเภทไหนที่จะเป็นที่พูดถึงเท่ากับ ‘หมาล่า’ อีกแล้ว 
เห็นได้จากร้านสุกี้หมาล่าสไตล์จีนๆ ที่เปิดกันทั่วทุกหัวมุมถนน เรียกว่าเป็นอาหารยอดฮิตในหมู่วัยรุ่นเลยทีเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้เมนูหมาล่า เคยเป็นที่นิยมในลักษณะของหมาล่าปิ้งย่างหรือแบบเสียบไม้ แต่ล่าสุดหมาล่ากลับมาฮิตในรูปแบบของสุกี้หมาล่า มาพร้อมกับน้ำจิ้มที่สามารถปรุงรสชาติเองได้อันเป็นเอกลักษณ์ แถมยังต้องต่อคิวกันยาวเหยียด เพราะความอร่อยแบบยอมรอได้ของหมาล่านั่นเอง 
โดย ‘หมาล่า’ ไม่ได้เป็นแค่อาหารยอดฮิต ที่มีรสชาติเผ็ดลิ้นชา ถูกปากคนไทยเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับประโยชน์มากมายสำหรับวัยเก๋าอีกด้วย ลองไปทำความรู้จักหมาล่าให้มากขึ้นกันเลย 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/07/%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87-01.jpg" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

ทำไมต้องชื่อ ‘หมาล่า’
แท้จริงแล้ว คำว่า หมาล่า ไม่ได้มาจากชื่อน้องสุนัขแต่อย่างใด แต่มาจากชื่อเรียกอาการเผ็ดชาที่ปลายลิ้น หลังจากที่เราได้กินเครื่องเทศเข้าไปนั่นเอง ซึ่งหมาล่า เป็นชื่อเรียกรวมๆ ของสมุนไพรจีนหลากหลายชนิด ทั้ง พริกป่น โป๊ยกั๊ก ยี่หร่า และมีพระเอกคือ พริกไทยเสฉวน หรือ ฮวาเจียว (Huajiao) มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดพริกไทยดำ แต่จะมีเปลือกสีน้ำตาลแดง ให้รสชาติเผ็ดร้อน จนรู้สึกชาที่ปลายลิ้น แต่จะเป็นความเผ็ดที่สักพักจะจางหายไป ไม่เผ็ดติดปากเหมือนพริกทั่วไป มักจะใส่อยู่ในอาหารเสฉวนเกือบทุกประเภท โดยเฉพาะน้ำซุปสุกี้หมาล่า เมนูยอดฮิตนั่นเอง 
ประโยชน์ของ ‘หมาล่า’ นอกจากรสชาติจะจัดจ้านถูกปากคนไทยแล้ว รู้หรือไม่ว่าประโยชน์จากหมาล่ายังมีอีกเพียบ โดยเฉพาะรสเผ็ดชา ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด มีธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล มีธาตุสังกะสีช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน นอกจากนั้นยังช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร และที่สำคัญคือกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยของฮวาเจียว มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต่อต้านเชื้อราและเชื้อไวรัส บรรเทาอาการหวัดและคัดจมูกได้อีกด้วย 
คำแนะนำก่อนอร่อยกับ ‘หมาล่า’ แม้ว่าหมาล่าจะมีประโยชน์มากมาย แต่ด้วยรสชาติที่เผ็ดร้อน จึงไม่เหมาะกับพี่ๆ ที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหาร เช่นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ไม่ควรกินตอนท้องว่างหรือเพิ่มระดับความเผ็ดมากจนเกินไป หรือพี่ๆ ที่มีอาการกรดไหลย้อน อาจจะทำให้เยื่อบุหลอดอาหารระคายเคือง และเกิดอาการแสบร้อนกลางอกขึ้นมาได้ และที่สำคัญคือในส่วนของน้ำจิ้ม ควรปรุงรสชาติแต่พอดี ไม่ควรเติมน้ำตาล ผงชูรส หรือซอสปรุงรสต่างๆ มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ได้รับโซเดียมเกินจำเป็นได้ และหลังจากกินเสร็จ ควรดื่มน้ำเปล่าตามมากๆ ด้วย และที่สำคัญ ถ้าต้องต่อคิวต่อกินสุกี้หมาล่านานๆ แนะนำให้นั่งเก้าอี้รอ หรือให้ลูกหลานต่อคิวให้ จะได้ไม่ปวดเมื่อยจากการยืนนานๆ นะคะ 
อ้างอิง
<a href="https://food.trueid.net/detail/KVxg85A4lp9z" target="_self"><ins>https://food.trueid.net/detail/KVxg85A4lp9z</ins></a>
<a href="https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1587151" target="_self"><ins>https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/1587151</ins></a>

รู้จัก ‘หมาล่า’ สมุนไพรจีนยอดฮิต เผ็ดชาสะใจ แถมประโยชน์เพียบ

เชื่อว่าพี่ๆ หลายคนคงได้ยินมาว่า การดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง ดีต่อสุขภาพมากที่สุด แต่จริงๆ แล้ว ใช่ว่า การดื่มน้ำเย็นจะไม่ดีต่อสุขภาพ หรือ การดื่มน้ำอุ่นจะดีต่อสุขภาพ ได้จริงๆ ยังแฮปปี้เลยขอไปหาคำตอบมาให้พี่ๆ หายข้องใจกัน

เริ่มต้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘น้ำ’ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อร่างกาย 60% ของน้ำหนักร่างกายเราประกอบไปด้วยน้ำ ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม หรือประมาณ 8 แก้วต่อวัน เพื่อรักษาสมดุลและการทำงานของร่างกายให้ปกติ แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ดื่มน้ำที่อุณหภูมิร้อนหรือเย็นดีกว่ากัน 
#น้ำเย็น มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ด้วยการลดอุณหภูมิลง ยิ่งเมื่ออากาศร้อนๆ การดื่มน้ำเย็นจะช่วยป้องกันการเป็นลมแดดได้ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยจากญี่ปุ่นพบว่า การดื่มน้ำเย็นก่อนนอน จะช่วยให้ร่างกายเย็นลง และนอนหลับสบายมากขึ้นอีกด้วย

#น้ำอุ่น มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายไม่ต่างจากน้ำเย็น และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งการดื่มน้ำอุ่นหลังตื่นนอน จะช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานของระบบทางเดินอาหารและป้องกันการท้องผูก สำหรับคนที่มีอาการไอหรือมีเสมหะ การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ 

เห็นได้ว่า ไม่ว่าจะน้ำอุ่นหรือน้ำเย็น ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ต่างกัน น้ำก็คือน้ำ ยิ่งเป็นน้ำเปล่า (ไม่ใช่น้ำหวาน) ยังไงก็ดีต่อสุขภาพแน่นอน แต่อุณหภูมิที่ต่างออกไป จะมีคุณสมบัติเพิ่มเติมเข้ามานั่นเอง 
 อ้างอิง
<a href="https://thestandard.co/drinking-water-for-good-health/" target="_self"><ins>https://thestandard.co/drinking-water-for-good-health/</ins></a>
<a href="https://jonessalad.com/2019/12/28/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99-vs-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99/" target="_self"><ins>https://jonessalad.com/2019/12/28/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99-vs-%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99/</ins></a>
<a href="https://www.nestle.co.th/th/nhw/3e/eat/drink-water" target="_self"><ins>https://www.nestle.co.th/th/nhw/3e/eat/drink-water</ins></a>

ไขปริศนา? น้ำอุ่น VS น้ำเย็น ดื่มแบบไหนดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน

<h2>พี่ๆ เคยเป็นไหม ชอบปวดปัสสาวะตอนกลางคืน จนต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ทำให้นอนหลับไม่ได้เต็มที่ ตื่นเช้ามาก็รู้สึกอ่อนเพลียไม่สดใส เชื่อได้เลยว่า พี่ๆ หลายคนกำลังประสบกับปัญหานี้แน่นอน </h2>
เพราะโดยปกติแล้ว ร่างกายของมนุษย์เรา จำเป็นต้องนอนต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เมื่อมีเหตุที่ทำให้การนอนสะดุดหรือต้องตื่นกลางดึก ทำให้การนอนหลับไม่เต็มอิ่ม และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นเอง 
ยังแฮปปี้ จึงอยากชวนพี่ๆ วัยเก๋ามาทำความเข้าใจกับอาการปวดปัสสาวะตอนกลางคืนกันให้มากขึ้น เพื่อหาทางป้องกันแก้ไขอย่างถูกต้องไปด้วยกัน

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0-03.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

 ทำไมถึงปวดปัสสาวะบ่อย ในตอนกลางคืน
ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อพี่ๆ เข้าสู่วัยสูงอายุ ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมไปตามวัย โดยเฉพาะระบบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะที่ทำงานเสื่อมลง หูรูดทำงานได้ไม่ดี โดยในพี่ๆ ผู้ชาย อาจเกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนได้น้อยลง ทำให้ภาวะต่อมลูกหมากโต ส่งผลให้ปัสสาวะมากขึ้น หรือพี่ๆ ผู้หญิง ที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลง จึงมีผลกระทบต่อระบบทางเดินปัสสาวะ 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0-04.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

นอกจากนั้น อาจเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ดื่มน้ำก่อนนอนมากเกินไป หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจเกิดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เนื้องอกต่อมลูกหมาก หรือเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ส่งผลให้ระบบประสาทและการสร้างสารเคมี ที่มีผลต่อการผลิตปัสสาวะทำงานผิดพลาด จึงทำให้ปวดปัสสาวะตอนกลางคืนได้ 
<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0-05.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

วิธีแก้ไขและป้องกัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ในตอนกลางวัน
แนวทางในการแก้ไขการปวดปัสสาวะตอนกลางคืนอย่างถูกต้องที่สุด จำเป็นต้องหาสาเหตุที่แท้จริงด้วยการพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาให้ตรงจุด 

<img src="https://storage.googleapis.com/younghappy-web-bucket/post_uplaod/2023/06/%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0-06.png" alt="undefined" style="height: auto;width: auto"/>

แต่ทั้งนี้พี่ๆ ก็สามารถป้องกันเบื้องต้นได้ อย่างเช่น การดื่มน้ำก่อนนอนประมาณ 2-4 ชั่วโมง และงดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน หมั่นออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อให้สามารถควบคุมการถ่ายปัสสาวะได้ดียิ่งขึ้น ป้องกันการปัสสาวะเล็ด และที่สำคัญคือการสังเกตอาการของตัวเองอยู่เสมอ 
อย่าปล่อยให้การปวดปัสสาวะตอนดึก มาทำลายคุณภาพชีวิตในตอนกลางวัน จากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ 
อ้างอิง
<a href="https://www.bangkokpattayahospital.com/th/healthcare-services/neuroscience-center-th/neuroscience-articles-th/item/2658-night-urination-th.html" target="_self"><ins>https://www.bangkokpattayahospital.com/th/healthcare-services/neuroscience-center-th/neuroscience-articles-th/item/2658-night-urination-th.html</ins></a> 
<a href="https://www.krungthai-axa.co.th/health-advisories/health-tip-frequent-urination-elderly-urinary-incontinence" target="_self"><ins>https://www.krungthai-axa.co.th/health-advisories/health-tip-frequent-urination-elderly-urinary-incontinence</ins></a>

สุขภาพ